การเรียนรู้นอกห้องเรียนเราสามารถเรียนรู้ได้หลากหลายวิธี
ซึ่งแต่ละวิธีก็มีแหล่งการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์
การฟังเพลงการอ่าน การสังเกตจากแหล่งต่างๆ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบเล่น Facebook เพราะมันสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีแหล่งหนึ่งให้กับดิฉันได้เช่น
เพจของคุณครูมอส ที่ครูได้เผยแพร่เกร็ดลับความรู้ต่างๆ นานา
มีทั้งเทคนิคการจำและได้เรียนรู้จากเพลงภาษาอังกฤษ ฟิตจากเพลง ซึ่งเผยแพร่เพลงต่างๆ
ที่มีทั้งคำศัพท์ยากๆให้เราได้เรียนรู้ และยังมีสำนวนภาษาอังกฤษที่ดิฉันไม่เคยเจอมาก่อนหรือสำนวนบางสำนวนก็เป็นสำนวนที่แปลกใหม่
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่ดิฉันได้เรียนรู้นั้น ดิฉันสามารถนำไปใช้ในการเรียนจริงๆได้
สำนวนภาษาอังกฤษที่มักเจอกันใน ชีวิตประจำวัน
เป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรรู้ไว้ เผื่อไว้สนทนากับชาวต่างชาติ สำนวนภาษาอังกฤษนั้นถ้าเราแปลตรงตัว
อาจทำให้ความหมายดูผิดเพี้ยนไปได้
จนบางครั้งเมื่อเราได้ยินเราก็ไม่สามารถเข้าใจได้ สำนวนภาษาอังกฤษ คำแสลง
ที่เจอในชีวิตประจำวัน Twenty – four Seven สำนวนนี้อาจแปลได้ว่า หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง และหนึ่งอาทิตย์มีเจ็ดวัน แท้จริงแล้ว
สำนวนนี้มีความหมายว่า ตลอดเวลา ทุกๆนาทีของทุกวัน สำนวนต่อมาคือ I’m broke อาจเป็นสำนวนที่ได้ยินบ่อย
สำนวนนี้ไม่ได้หมายความว่ามีร่างการส่วนใดส่วนหนึ่งเสียหรือใช้การไม่ได้
ความหมายจริงๆก็คือ ฉันไม่มีเงินเลย หรือ ถังแตก มีความหมายเท่ากับ I have no money. คำต่อมาคือ
Give me a hand . ถ้ามีคนพูดกับคุณว่า Do you want to
give me a hand ? เขาหมายความว่า Do you want to help me ? สมมติว่ามีคนๆหนึ่งถือของมา
แล้วเขาพูดว่า Would you give me a hand ? ไม่ได้หมายความว่า
เขาขอมือคุณ แต่เขากำลังขอให้คุณช่วย
เมื่อก่อนดิฉันเคยเห็นข้อความที่บอกว่า
Rain cats and dogs ก็เคยสงสัยว่ามันแปลว่าอะไร
รู้แค่ว่ามันคือสำนวนในภาษาอังกฤษที่เขานิยมใช้กัน วันนี้จึงลองค้นคว้าดู
จากข้อความที่เขาบอกว่า Rain cats and dogs ไม่ได้หมายความว่าฝนแมวและฝนสุนัข
ที่ฉันเข้าใจ แต่จะแปลว่า ฝนตกหนักมากๆ ตัวอย่างเช่น I am going to be late for work because
it is raining cats and dogs this morning . เช้านี้ฝนตกหนักมาก
ฉันไปทำงานสายแน่ๆ
นอกจากนี้ยังมีสำนวนที่มีคำว่า rain แต่เมื่อแปลแล้วก็ไม่ได้หมายถึงฝนโดยตรง
คือ come in out of the rain สำนวนนี้แปลว่า “การเผชิญหน้ากับความจริง ” เช่น Hey, man !
come in out of the rain ! Don’t you see that your boss is talking advantage of
you! ยอมรับความจริงเถอะเพื่อน
แกไม่เห็นจริงๆหรอว่าเจ้านายแกนะ เอาเปรียบแกอยู่ ซึ่งจะเห็นได้จากข้อความที่กล่าวมานั้นเปรียบเสมือนสถานการณ์ที่ฝนกำลังตกอยู่ข้างนอก
คนที่อยู่ในอาคารไม่รู้สึกรู้สาอะไร การให้ออกไปข้างนอกเจอกับฝน
จะได้รู้ว่าความจริงมันเป็นอะไรนั้นเอง
สำนวนต่อมาคือ
rain check สำนวนนี้แปลว่า ขอติดเอาไว้นะ ส่วนใหญ่จะพบในการใช้ ในรูปแบบ “take
a rain check ” หรือ “have rain check ” ตัวอย่างเช่น
I will take a rain check on that
party tomorrow , if that is all right . ฉันไม่ไปปาร์ตี้วันพรุ่งนี้
ถ้าไม่ว่าอะไรฉันจะไปครั้งหน้าก็แล้วกัน อีกหนึ่งตัวอย่าง I can not have
lunch with you this afternoon , but can I get a rain check? ฉันไปทานข้าวกลางวันกับเธอไม่ได้
เอาไว้คราวหน้าได้ไหม สำนวนต่อมาคือ come rain or shine /
come rain or come shine สำนวนนี้ใช้บอกว่า “สถานการณ์ไหนก็พร้อมรับ”
เช่น “Don’t worry , I will be there come rain or shine .
We will hold the picnic.” ไม่ต้องห่วงฝนจะตกหรือแดดจะออก ฉันก็จะไปปิกนิก
สำนวนต่อมาคือ
Rain down สำนวนนี้หมายถึงอาการ “ท่วมท้น” ส่วนใหญ่ใช้คำคำด่าหรือคำชม เช่น
the audiences rained criticism down on the Thailand’s got talent
contestant for paining on the canvas using her boob.ผู้ชมตำหนิผู้เข้าประกวด
Thailand’s got talent อย่างท่วมท้น เนื่องจากใช้นมในการเพนต์ภาพ boobs ควรเปลี่ยนเป็น
breast จะสุภาพยิ่งกว่า และสุดท้ายคือ As right as
rain สำนวนนี้แปลว่า “สบายดีอย่างยิ่ง”
เช่น I took some aspirin , went to bed , a and in the
morning I was as right as rain. ฉันกินแอสไพรินแล้วก็ไปนอน แล้วพอตื่นเช้ามาก็รู้สึกดีขึ้นมากเลย
จะเห็นได้ว่าจากที่ได้พูดถึงสำนวนในภาษาอังกฤษนั้นถึงแม้ว่าจะมีคำว่า
rain แต่เมื่อแต่ก็ไม่ได้หมายถึงฝนแต่อย่างใดแต่บางครั้งการนำคำว่า rain ไปใช้ในประโยชน์นั้นเพื่อต้องการเปรียบเปรย
เช่นเก็บให้ฝนเป็นดั่งอุปสรรคที่ต้องประเชิญหน้าฉะนั้นการสนทนาในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะโดยภาษาใดใดก็มักจะมีการใช้สำนวนเสมอภาษาไทยก็เช่นกันซึ่งสำนวนแต่ละสำนวนนั้นบางครั้งไม่สามารถแปลตรงตัวได้แต่ต้องมีการตีความอีกครั้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจภาษาอังกฤษก็เช่นกันถ้าเราไม่รู้ความหมายของสำนวนนั้นก็อาจทำให้ไม่สามารถทำความเข้าใจความหมายของประโยคนั้นนั้นได้การศึกษาเกี่ยวกับสำนวนภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเช่นถ้าเราสนทนากับชาวต่างชาติ
แล้วเขาก็พูดสำนวน 1 สำนวนใดออกมาเราก็สามารถสนทนากับเขาให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
มักมีคำศัพท์มากมายที่มีความหมายเหมือนหรือคล้ายกัน
แต่คำศัพท์เหล่านั้น มีหลักการใช้ที่แตกต่างกัน จนบางครั้งทำให้เราเกิดความสับสนในการใช้งาน
ตัวอย่างเช่น คำว่า Do และ Make
ทั้งสองคำนี้แปลว่า “ทำ” เหมือน แต่คำว่า “do” มักใช้กับ “การกระทำในเชิงนามธรรม” ก็คือการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งไม่ได้สร้างวัตถุอะไรขึ้นมาใหม่ เช่น do
homework ทำการบ้าน , do housework ทำงานบ้าน
หรือ do the ironing รีดผ้า จะเห็นได้ว่าทั้งการทำการบ้าน ทำงานบ้านและรีดผ้า
เป็นกิจกรรมที่ไม่สามารถสร้างวัตถุอะไรขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้
การบ้านก็ทำในสมุดที่มีอยู่แล้ว กวาดบ้านถูบ้านก็มีอยู่แล้ว รีดผ้าก็ตัวเดิม
ไม่ได้ตัดเสื้อตัวใหม่ขึ้นมารีด นอกจากนั้น do มักนิยมใช้ร่วมกับ
something , nothing , anything , everything อีกด้วย เช่น I am not doing everything
today. He does everything for his mother. ส่วน make นั้นมักใช้กับ”การกระทำในเชิงรูปธรรม” คือการผลิตวัตถุที่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาใหม่ เช่น make food ,
make cup of coffeeหรือ make cake ทั้งการทำอาหาร
การชงกาแฟ และการทำขนมเค้ก ล้วนทำให้เกิดวัตถุเป็นรูปธรรม คือ ได้อาหารหนึ่งจาน
กาแฟหนึ่งถ้วย และขนมเค้กหนึ่งก้อน ซึ่งต่างจากการทำสิ่งที่มีอยู่แล้วแบบ do
นอกจากนี้ยังมีการใช้ do และ make ในสำนวนต่างๆ อีกด้วย เช่น do good ทำให้ดีขึ้น ,
do harm มีพิษมีภัย , do a favor ช่วย , do one’s best ทำให้ดีที่สุด , make money หาเงิน , make
war ต่อสู้ , make a deal with ตกลงกับ นอกจาก
do และ make แล้ว ยังมีคำว่า Avenge
และ Revenge ทั้งสองคำนี้หมายถึง แก้แค้น แต่ avenge คือการลงโทษผู้กระทำผิดตามหลักกฎหมายและความถูกต้องของสังคม จะแก้แค้นเรื่องส่วนตัวหรือไม่ก็ได้แต่
วิธีการลงโทษนั้นจะเป็นไปตามหลักเหตุผลมากกว่าอารมณ์ซึ่งคำนี้ได้มาจากชื่อ The
avenger’s ที่เป็นผู้ลงมาลงโทษโลกิโดยทำไปเพื่อสร้างความสงบสุขแก่สังคมมากกว่า
การล้างแค้นด้วยอารมณ์ส่วน Revenge คือการลงโทษผู้กระทำผิดแบบให้สาสมกับที่เค้าทำไว้เป็นการล้างแค้นแบบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลหรือความถูกต้องหรือเรียกได้ว่าเป็นการแก้แค้นเรื่องส่วนตัวตัวอย่างเช่นท่านแก้แค้นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขาด้วยกันตามหารักสามารถเอาผิดและสามารถจับฆาตกรเข้าคุกได้สำเร็จแบบนี้ใช้ Advenge แต่ถ้าทำแก้แค้นโดยการจับฆาตกรมาทรมานทำทุกอย่างให้ฆาตกรได้รับความสะสมที่กระทำกับพ่อของเขาให้ใช้
ต่อมาเป็นคำที่เราพบบ่อยและใช้ผิดกันบ่อยคือ
คำว่า ill
และ sick ทั้งสองคำนี้แปลว่า ป่วย แต่ sick เป็นการนำไปใช้กับคนที่เจ็บป่วยทางกายหรือการอาเจียน
เช่น she has eaten bad food and she has just been sick. นอกจากนี้คนที่อาการคลื่นไส้มักจะถูกบอกว่า
sick เช่น seasick , carsick , และ
airsick เช่น I don’t like going long distance in the car
because I get carsick. .ในบางกรณี sick นำไปใช้เมื่อใครบางคนรู้สึกเบื่ออะไรสักอย่าง
เช่น I am sick of eating salad. I have eaten it every day this week. ส่วน ill เราใช้เมื่อพูดถึงการสชรู้สึกแบบไม่สบายทั่วไป
โรคและความเจ็บป่วยทางการที่ต้องการการรักษาหรือการพยาบาลนั้นถูกเรียกว่า illness
เช่น John is ill in hospital with a chest infection. สรุปคือ สำหรับการป่วยเล็กๆน้อยหรือที่ไม่ชัดเจนสามารถใช้คำว่า sick
และใช้คำว่า ill บอกถึงความเจ็บป่วยที่รุนแรง
คำว่า everyone
และ everybody ทั้งสองคำนี้มีความหมายเหมือนกันซึ่งแปลว่าทุกคน
ถึงแม้ว่าจะเขียนต่างกันแต่ก็สามารถใช้แทนกันได้ everyone ใช้เมื่อพูดถึงทุกคนโดยรวมเป็นกลุ่มๆหนึ่งและมีการใช้แบบเป็นทางการ
เช่น ในที่ประชุม การพูดในที่สาธารณะ เช่น welcome v=everyone to this
seminor ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การสัมมนา ส่วน everybody ใช้เมื่อพูดถึงทุกคนโดยให้เห็นถึงการขยับเขยื้อนร่างกายไปพร้อมๆกัน
จะเป็นแบบไม่เป็นทางการ สบายๆ เช่นใช้กับเพื่อน ตัวอย่างเช่น Everybody
please stand up. We are going to dance together. ทุกคนยืนขึ้นเราจะมาเต้นด้วยกัน
และถ้า everyone และ everybody เป็นประธานจะต้องเติม
s ที่กริยาด้วย ถึงแม้ว่าทั้งสองคำนี้จะแปลว่าทุกคน
แต่ตามหลักภาษาอังกฤาแล้วทั้งสองคำนี้ให้ถือว่าเป็นเอกพจน์
นอกจากได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษแล้วนั้นดิฉันยังได้ฝึกภาษาอังกฤษโดยการดูรายการโทรทัศน์ใน
YouTube
คือรายการภาษาอังกฤษติดล้อ ที่จัดมาเป็นตามสถานการณ์ต่างๆ
ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น สถานการณ์ A day at the fitness Centre.
ซึ่งได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และประโยคในภาษาอังกฤษตามสถานการณ์
ที่เราอยู่ในสถานที่ออกกำลังกาย คือ workout ออกกำลังกาย ,
fitness ที่ใครหลายคนเข้าใจว่าเป็นการใช้เรียกสถานที่ที่ออกกำลังกาย
แท้จริงแล้วหมายความว่า ความแข็งแรงของร่างกาย
ถ้าเรียกให้ถูกต้องจะต้องใช้คำว่า fitness center หรือ
fitness club แปลว่าสถานที่ออกกำลังกายหรือเรียกสั้นๆว่า GYM
ซึ่งย่อมาจาก Gymnasium , warm up อบอุ่นร่างกาย
, stretch ยึกกล้ามเนื้อ , injury อาการบาดเจ็บ
, jogging วิ่งเหยาะๆ , sprinting วิ่งเร็ว
, calorie burning การเผาผลาญแคลอรี่ , physical
condition สภาพร่างกาย , personal trainer ครูฝึกส่วนตัว
, shrinkage การหดตัว และ Loosen up การคลายตัว
การออกกำลังกายโดยการยกน้ำหนักใช้คำว่า
weight
training , posture การวางท่าทาง breath in การหายใจเข้า
, exhale การหายใจออก , meditation สมาธิ
, blood circulation ระบบหมุนเวียนเลือด
นอกจากได้เรียนรู้คำศัพท์แล้วนั่น ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับประโยคอีกด้วย Today I am going to exercise at WE
fitness society. วันนี้ฉันจะไปออกกำลังการ , Pilates
enhances the strength of the body structure. ปีลาตช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างร่างกาย , Regular yoga exercise and meditation
are good for your body and mond. การฝึกโยคะและสมาธิจะส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจของเรา
สถานการณ์ต่อมาที่ได้เรียนรู้
คือ สถานการณ์ที่เกี่ยวกับอากาศหรือสภาพอากาศ A day of the weather คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องได้แก่ weather
forecast พยากรณ์อากาศ , monsoon มรสุมหรือลมพายุที่เกิดขึ้นทางมหาสมุทรอินเดียทำให้ฝนตกหนักมาก
, Air temperature อุณหภูมิอากาศ ,
Humid ชื้น , Humidity ความชื้นอากาศ , freezing point จุดเยือกแข็ง
, การระเหยใช้คำว่า evaporate , drought ช่วงฝนแล้งหรือภัยแล้ง ,
tropical depression พายุดีเปรสชั่นเขตร้อน , tropical storm
พายุโซนร้อน , severe tropical storm พายุโซนร้อนรุนแรง
, typhoon ใต้ฝุ่น , น้ำท่วมหรืออุกภัย
flood , land slide ดินถล่ม , gust ลมกระโชก
, Partly cloudy sky ท้องฟ้ามีเมฆบางส่วน , isolated
rain ฝนตกบางแห่ง , breeze ลมพัดโชย ,
windstorm พายุ , wind
direction ทิศทางลม , wind speed ความเร็วลม
, water vapor ไอน้ำ และ storm พายุ
ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาจะใช้คำว่า
metrological
satellite , weather radar เรดาห์ตรวจอากาศ , radar เครื่องหาวัตถุด้วยเครื่องวิทยุสะท้อน
, tropical cyclone พายุหมุนเขตร้อน , fog หมอก
, foggy หมอกจัดหรือหมอกหนา , visibility ทัศนวิสัย , flash flood น้ำท่วมฉับพลันหรือน้ำป่าไหลหลาก
นอกจากได้เรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์อากาศไปแล้วนั่นยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับประโยคที่ถามตอบบอกเล่าเกี่ยวสภาพอากาศอีกด้วย
คือ Today’s weather is fine . วันนี้อากาศดีจังเลย Thailand is near the tropical zone ,
therefore the weather is quite hot all year-round.ประเทศไทยอยู่ใกล้เขตร้อนดั้งนั้นอากาศจึงค่อนข้างร้อนตลอกทั้งปี
และ It’s a beautiful day. วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส่
เมื่อเราได้เรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้เราสามารถฟังการพยากรณ์ของนักข่าวต่างประเทศได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
อีกสถานการณ์ที่ควรรู้คือการไปรษณีย์
A
day at the post office ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สามารถนำทั้งคำศัพท์และประโยคไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ
โดยได้เรียนรู้คำศัพท์ต่อไปนี้ postal service บริการไปรษณีย์
, letter จดหมายหรือตัวอักษร , postcard ไปรษณียบัตร , parcel พัสดุ , stamp ตราไปรษณียากร(คำนาม) ถ้าเป็นคำกริยาจะหมายความว่า ประทับตรา , ซองจดหมาย envelope , padded envelope ซองกันกระแทก ,
padded บุให้หนาขึ้น , carton กล่อง ,
normal carton กล่องแบบธรรมดา , ready-made-carton กล่องสำเร็จรูป , bubble wrap แผ่นกันกระแทกที่มีปุ่มเหมือนฟองอากาศ
, ordinary mail ส่งแบบไปรษณีย์ธรรมดา , registered mail ลงทะเบียน
, EMS ที่เรามักเรียกกันนั้นมาจากคำว่า express mail
service ส่งไปรษณีย์แบบด่วนพิเศษและนอกจากนนี้ยังได้เรียนรู้ประโยคที่ใช้ในการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการส่งไปรษณีย์อีกด้วย
How much is a padded envelope? ซองกันกระแทกหนึ่งซองราคาเท่าไร
How do like to send your parcel? Via ordinary mail , registered mail or
EMS. คุณจะส่งพัสดุโดยวิธีใด ธรรมดา , ด่วนพิเศษ
หรือลงทะเบียน ถ้าเป็นการถามอัตราค่าบริการ How much would it be? อัตราค่าไปรษณีย์เท่าไร How long does it? ใช้เวลาไปที่จุดปลายทางนานเท่าไร
What is the maximum weight allowed per carton for South Korea? ฉันต้องส่งของไปที่เกาหลีใต้น้ำหนักสูงสุดที่อนุญาตต่อกล่องกี่กิโลกรัม
และ I would like to mail it by EMS.ฉันต้องการส่งพัสดุแบบด่วนพิเศษ
เรามักจะมีความคุ้นเคยกับคำว่า
already
just และyet แต่สามตัวนี้ดิฉันมักจะสับสนและเลือกใช้แบบผิด
ซึ่งหลักการใช้ของสามตัวนี้คือ Already (แล้ว) กับ yet
(ยัง) ปกติจะใช้ใน present perfect tense แต่ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกันสองคำนี้ยังสามารถใช้กับ
past simple tense ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น She
already had breakfast. เธอรับประทานอาหารเช้าแล้ว Do you have
breakfast yet? คุณกินอาหารเช้าแล้วหรือยัง
อย่างไรก็ตามสำหรับการใช้สองคำนี้กับ past simple tense เป็นการใช้ในภาษาพูดแบบชาวบ้านๆมากกว่าใช้ในภาษาเขียนยิ่งไปกว่านั้นชาวอเมริกันบางคนถือว่าเป็นการพูดไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม
แม้จะเป็นการพูดกับเพื่อนสนิทก็ตาม ถ้าจะใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมนั้นควรใช้กับ present
perfect tense จะดีกว่า เช่น She had already breakfast. เธอรับประทานอาหารเช้าแล้ว Have you had breakfast yet? คุณรับประทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง
ส่วนคำว่า just
(เพิ่ง , เพียงแต่)
ในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษมักใช้กับ perfect tense เช่น I have just had some good news. ,
I just got some good news. ทั้งสองประโยคนี้มีความหมายเหมือนกันว่า
ผมเพิ่งได้รับข่าวดี ข้อควรจำสำหรับการใช้ Already , just และ
yet ในภาษาอังกฤษคือ Already จะใช้ในประโยคบอกเล่า
ส่วน yet จะใช้ในประโยคคำถาม อย่างไรก็ตามบางทีอาจมีการใช้ already
ในประโยคคำถามด้วยก็ได้
แต่จะมีความหมายว่าเป็นคำถามเชิงสงสัยนิดๆซึ่งจะหมายความว่า “แล้วหรือ” ส่วนคำว่า just อาจใช้ในประโยคบอกเล่าหรือประโยคคำถามก็ได้
การใช้ ever
กับ Wh-words หลายคนอาจเคยเห็น ได้แก่คำว่า whoever
, whatever , whichever , whenever , wherever , however ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม
conjunctions ซึ่งแต่ละตัวจะมีหลักการใช้ดังต่อไปนี้
คำแรกคือ whoever ในความหมาย on matter who ที่แปลว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ตัวอย่างเช่น Whoever telephones
, tell them I am out. ไม่ว่าใครก็ตามที่โทรศัพท์มา
บอกเขาว่าผมไม่อยู่ , Whoever you marry , make sure she can cook. ไม่ว่าใครก็ตามที่คุณจะแต่งงานด้วย ขอให้ดูให้แน่ใจว่าเธอทำอาหารเป็น
คำต่อมาคือ whatever มีความหมายว่า no matter what ซึ่งแปลว่าไม่ว่าอะไรก็ตาม ตัวอย่างเช่น whatever problem you have
, you can always come to see me for help. ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาอะไรก็ตาม
ขอให้คุณมาพบผมเผื่อผมจะช่วย , whatever you do , I
will always love you. ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ผมก็ยังรักคุณเสมอ
Whichever มีความหมายเดียวกับ whatever แต่เวลาใช้คำนี้ จะใช้หน้าคำนามเป็น
whichever + noun ตัวอย่างเช่น whichever day you
come , I will take whichever tent you are not using. ผมเอาเต็นท์ไหนก็ได้ครับที่คุณไม่ใช้
ต่อไปคือ whenever มีความหมายว่า no matter when ซึ่งแปลว่า ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น You can phone me
whenever you like. คุณโทรมาหาผมเวลาไหนก็ได้ที่คุณต้องการ ,
whenever you come , you will be welcome. ไม่ว่าคุณจะมาเวลาไหน
คุณก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดี wherever มีความหมายว่า no
matter where ซึ่งแปลว่า ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ตัวอย่างเช่น wherever you go , I will go with you. ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ตาม
ผมก็จะไปกับคุณ , We found the people friendly wherever we went. เราพบผู้คนที่แสดงความเป็นมิตร ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนก็ตาม
However
มีหลายความหมาย คือ 1. In whatever way; no matter how ซึ่งแปลว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม However you travel, it will take
you at least two days. ไม่ว่าคุณจะเดินทางด้วยวิธีใดก็ตาม
ก็ต้องใช้เวลา 2 วัน ประการที่ 2 คือ ถ้าหาก However + adjective/ adverb หมายถึง even
if ….. very , it does matter how ซึ่งจะแปลว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม โครงสร้างของ however
+ adjective/adverb + subject + verb ตัวอย่างเช่น however
rich people are , they always want more ,
It doesn’t matter how rich people are, they always want more. ไม่ว่าคนเหล่านี้จะรวยมากมายก็ตาม
แต่พวกเขาก็ยังต้องการรวยมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม
however เป็น adverb ถ้าหากใช้ however ในหน้าที่ adverb (กริยาวิเศษณ์) จะหมายถึง but; on the other hand แปลว่า
“แต่, ในทางตรงกันข้าม” ตัวอย่างเช่น I feel a
bit tired. However, it’s probably just the weather.
ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย แต่อาจจะเป็นเพราะอากาศก็ได้
ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย แต่อาจจะเป็นเพราะอากาศก็ได้
คำบุพบทเป็นคำที่บอกตำแหน่ง
บอกสถานที่
บอกทิศทาง ที่แสดงการเคลื่อนไหว หรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคะนามหรือสรรพนามอ่านๆมีคำบุพบทในภาษาอังกฤษมากมาย
แต่ก็มีอยู่บางกลุ่มที่ดิฉันเจอบ่อยและใช้บ่อย นั่นคือ in
on at ที่ใช้ในการแสดงเวลาละสถานที่นั่นเอง โดย in on และ at มีหลักการใช้ดังต่อไปนี้ คือ in จะใช้กับ ปี ,
เดือน , ทศวรรษ , ฤดูกาล
เช่น การใช้กับปี I started working at Oxbridge Institute in 2012. การใช้กับฤดูกาล เช่น In the summer ,
I love to go to the beach. การใช้ระบุเดือน My final exam
is in October. การใช้ระบุประเทศ เช่น My parents are in
Japan at the moment. การใช้ระบุเมือง เช่น I bought this
beg in New York City. และการระบุเวลาของวัน เช่น My friend runs 10 km. in the morning every day. แต่ยกเว้นตอนกลางคืนจะใช้ at night จากการยกตัวอย่างมาสรุปได้ว่า
in จะใช้บอกเวลาหรือสถานที่ที่กว้างมากๆ
On
ใช้ระบุเวลาที่เจาะจงมากขึ้นในระดับ วัน ชื่อถนน ชื่อตึก การระบุวัน
เช่น I was born on Monday 23th July 1984. ใช้ในการระบุชื่อถนน เช่น Jack’s
house is on Sukhumvit 39 Road.
สังเกตได้ว่าการบอกชื่อถนนยังกว้างอยู่ การใช้ระบุชื่อตึก เช่น Ajarn Mark’s office is on the 9th floor, Chang Building.ตัวต่อมาคือ การใช้ at เราจะใช้เมื่อต้องการระบุเวลาและสถานที่แบบเจาะจงที่สุด
ใช้ในการระบุเวลาเช่น Jack’s house is at 55/60 Soi Sukhunvit 39. เป็นการบอกที่เจาะจงสามารถรู้ได้ทันที เทคนิคการจำ in on at à กว้าง แคบ แป๊ะ
จากการเรียนรู้เรื่องของสำนวนภาษาอังกฤษ การดูรายการโทรทัศน์ในรายการภาษาอังกฤษติดล้อในสถานการณ์ต่างๆการใช้
in
on at คำศัพท์ที่มักมีความซับซ้อนในการใช้งาน และการใช้ just
already and yet ดิฉันได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ ได้ดีขึ้น
และความรู้ต่างๆเทคนิคการเรียนการจำ
หลักการใช้ต่างๆมาใช้ในการเรียนได้จริงๆนะจากนี้ดิฉันได้รับความสนุกสนานจากการดูรายการต่างๆอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น