วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log 7 (สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน)


ถ้าเราพูดถึง If - Clauseหรือ Conditional Sentences ที่เป็นประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข หลาย ๆ คนอาจยังไม่เข้าใจ แต่ถ้านึกถึง  If – Clause ภาษาไทยนั้นก็คือ ถ้า....แล้ว.... ซึ่งเป็นประโยคที่หลาย ๆ คนพูดกันติดปาก เช่น ถ้าฝนตก ฉันจะอยู่บ้าน , ถ้าฉันเป็นมหาเศรษฐี ฉันจะซื้อทุกอย่างในโลกนี้ หรือถ้าเมื่อวานฉันทำงานเสร็จ วันนี้ฉันคงสบายไปแล้ว และ If – Clause ในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ If – Clause ที่แสดงเงื่อนไข ที่เป็นไปได้ สามารถเป็นจริงได้ ต่อมาคือ If – Clause ที่แสดงเงื่อนไขแบบเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันหรือการมโนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นและ If – Clause เป็นเงื่อนที่เป็นไปไม่ได้ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว

If – Clause หรือ Conditional Sentences คือประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข Conditional ซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก ๆ 2 ประโยครวมกัน และเชื่อมด้วย Conditional “If” ประโยคที่นำหน้าด้วย If แสดงเงื่อนไขเราเรียกว่า If – Clause และประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้นเราเรียกว่า main clause ตัวอย่าง If it rains, I with stay at home โดยประโยค If it rains นั้นเป็น If – Clause ส่วน I will stay at home นั้นเป็น main clause ซึ่ง If – Clause  นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ รูปแบบแรกคือ If – Clause  ที่แสดงความเป็นไปได้สูงหรือที่สามารถเป็นไปได้จริงเสมอ ซึ่งจะมีโครงสร้างคือ If + Present Simple , S + will หรือ S + will + if + Present Simple ถ้าวาง If ไว้หน้าประโยคให้ใส่ comma ขั้นระหว่างประโยค 2 ประโยค ต่อมารูปแบบที่ 2 คือ If clause ที่ใช้สมมติในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงหรือจินตนาการให้เกิดขึ้น และรูปแบบที่ 3 คือ ใช้สมมติเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้วหรือสมมติเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้

If – Clause   ที่แสดงความเป็นไปได้หรือที่สามารถเป็นจริงที่อยู่ในปัจจุบันหรือเรียกว่า Present real ซึ่งจะมีโครงสร้างคือ if + Present Simple, S +will +V1 ตัวอย่างเช่น If it rains, the streets are flooded. ถ้าฝนตกก็จะท่วมถนน If we freeze water, it will change into ice. ถ้าเราทำให้น้ำถึงจุดเยือกแข็ง น้ำก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง. If I have time, I will help you. ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะช่วยคุณ จากตัวอย่างประโยคที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ต่อมาเป็น If – Clause   ที่ใช้สมมติในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง , จินตนาการให้เกิดขึ้นในเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบันหรือเรียกว่าการมโนนั้นเอง ซึ่งมีโครงสร้างคือ If + Past simple, s+ would +v1 หรือ S+would+v1 ,  if + Past simpleตัวอย่างประโยค เช่น If I were bird, I could fly. ถ้าผมเป็นนก ผมก็คงบินได้ If the earth had 2 moons , the night sky would be so excite. ถ้าโลกนี้มีดวงจันทร์ 2 ดวงบนท้องฟ้ายามค่ำคืนจะประหลาดยิ่ง ซึ่งจากตัวอย่างที่กล่าวมานั้นจะเห็นว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเป็นไปได้และคล้ายกับเป็นการมโนหรือจินตาการนั้นเอง

If – Clause   ก็ใช้กับการสมมติที่เป็นไปไม่ได้ หรือตรงกันข้ามกับความจริง ที่ผ่านมาแล้วในอดีตซึ่งมีโครงสร้าง คือ If + Past perfect, S + would + have + V3 ตัวอย่างเช่น If I had got some advice, I might have bought that stock. ถ้าบังเอิญผมได้รับคำแนะนำ ผมก็คงซื้อหุ้นตัวนั้นได้ If I had set my alarm clock, I could have woken up early. ถ้าผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ผมก็คงตื่นเช้า ด้งนั้นสังเกตได้ว่า If – Clause   รูปแบบที่ 2 และ 3 จะมีข้อแตกต่างกันเล็กน้อยที่สุดก็คือ ในรูปแบบที่ 2 จะเป็นการมโนเหตุการณ์ในปัจจุบันและไม่มีทางเป็นไปได้ เรียกว่า Present Unreal นั้นเอง และในรูปแบบที่ 3 นั้นจะเป็นการมโนเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งไม่มีทางเป็นได้ เรียกว่า Past unreal นั่นเอง

การรู้คำศัพท์เยอะ ๆ ทำให้เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคำศัพท์นั้นมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เช่น ทักษะด้านการฟัง เมื่อเราฟังภาษาอังกฤษ ถ้าเรารู้คำศัพท์เราก็จะฟังเข้าใจมากยิ่งขึ้น ทักษะการพูด เมื่อเราต้องการที่จะสนทนา เราก็จำเป็นต้องรู้คำศัพท์ต่าง ๆ ให้มากเพื่อการพูดจะได้คล่องมากยิ่งขึ้น สุดท้ายคือทักษะการเขียน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนความเรียงหรือการเขียนประโยคอะไรก็ตาม ก็ต้องใช้คำศัพท์ที่หลากหลายทั้งนั้น จะเห็นได้ว่าคำศัพท์มีความสำคัญกับการเรียนเป็นอย่างมาก ยิ่งเราฝึกฝนเยอะเท่าไรยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเรา นอกจากนี้จากการเรียนรู้ดิฉันได้รู้จักกับเว็บไซด์ที่เป็นการทดสอบความรู้คำศัพท์ของเราคือ  www.vocabularysize.com ซึ่งมาจากการที่ดิฉันได้ทำแบบทดสอบทั้งหมด 140 ข้อ ผลสรุปออกมาว่า ดิฉันรู้คำศัพท์น้อยมาก ในขณะที่ทำมีแต่ศัพท์ที่ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้น ดิฉันจึงต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น

จากการได้เรียนรู้ในห้องเรียนนั้นในเรื่องของ If – Clause   ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท หรือ 3 เงื่อนไขต่อมาคือ เงื่อนไขที่หนึ่งได้กล่าวว่าเป็นแสดงถึงความเป็นไปได้หรือสามารถเป็นจริงได้ในปัจจุบัน เงื่อนไขต่อมาคือ การแสดงถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริงแต่จินตนาการอยากให้เป็นจริง หรือเรียกอีกอย่างหว่าเป็นการมโนนั้นเอง เงื่อนไขที่สามคือการสมมติหรือพูดถึงสิ่งที่สามารถ..ไปได้ หรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริงที่ผ่านมาแล้วในอดีตไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ทุกเงื่อนไขเราล้วนเจอในชีวิตประจำวันของเราเพราะบางครั้งเราชอบแสดงเงื่อนไขของตนเองขึ้นมา ต่อมายังได้รู้จักเว็บไซด์ที่สามารถทดสอบเราในเรื่องของคำศัพท์ว่าเรารู้จักคำศัพท์ขนาดไหน เมื่อลองใช้หรือทดสอบแล้ว สรุปว่าดิฉันรู้จักคำศัพท์น้อยมาก และเมื่อรู้แล้วดิฉันคิดว่าต้องพัฒนาตนเองอีกมากมาย เพื่อให้เราเก่งภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น