วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log 12 (สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน)



การเรียนรู้นอกห้องเรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะในปัจจุบันเรามีความสะดวกในด้านการค้นคว้าหาข้อมูล นั้นก็คืออินเตอร์เน็ตที่เราสามารถเข้าถึงทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง การดูนิทาน ภาพยนตร์ต่างๆของต่างประเทศ ก็สามารถทำให้เราเกิดการเรียนรุ้ได้แล้วหรือแม้กระทั่งการอ่านหนังสือก็เป็นการเรียนรู้ได้ หนังสือพิมพ์ หนังสือนิตยสารของต่างประเทศ ใช้ในการอ่าน ฝึกทำความเข้าใจในรูปแบบการเขียนและสามารถนำมาเป็นความรู้รอบตัวได้อีกด้วย

จากการได้ฟังสื่อ English Conversation Learn English Speaking ดิฉันได้สังเกตเห็นว่า ในการสนทนา ผู้สนทนาได้มีการใช้  possessive adjectives  (ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ) ในการสนทนาอยู่บ่อยมาก ตัวอย่างประโยคที่ผู้สนทนาใช้ เช่น My silly Victor he forgets everything! จากประโยคนี้ผู้สนทนาได้ใช้  possessive adjectives   คือ my  (ของฉัน)ซึ่ง my จะขยาย silly Victor  ตัวอย่างประโยคต่อมาคือ How’s your soup?  จากประโยคนี้ผู้สนทนาได้ใช้ possessive adjectives   คือ your(ของคุณ)  ซึ่ง your จะขยาย soup ซึ่งผู้สนทนาต้องการบอกว่านี่ซุปของคุณ ตัวอย่างต่อมาคือ Today in our lesson จากตัวอย่างนี้ผู้สนทนาได้ใช้ possessive adjectives   คือ our (ของพวกเรา) ซึ่ง our จะขยาย lesson คือ บทเรียนของพวกเราและตัวอย่างต่อมาที่ฉันสังเกตเห็น possessive adjectives   คือ her (ของเธอ) That will really help her English. ซึ่ง her จะขยาย English ภาษาอังกฤษของเธอ นี่เป็นตัวอย่างที่ดิฉันได้สังเกตเห็นว่าในการสนทนานี้ผู้สนทนามีการใช้ในเรื่องของ possessive adjectives   กันบ่อยครั้งนั้นเอง

นอกจากที่ดิฉันได้สังเกตเห็นว่า ในบทสนทนานี้ได้ใช่เรื่อง possessive adjectives   บ่อยแล้ว ก็ยังมีเรื่องของ Preposition ที่เราใช้กันบ่อยๆ ก็คือ พวก in on และ at  ซึ่งจากการที่ดิฉันเคยได้ศึกษาเรื่อง in on และ at นั้น เราจะใช้ in กับการบอกเวลาและสถานที่แบบทั่วๆไป  เช่นการระบุ  พ.ศ. ,ปี,เดือน,สัปดาห์ ส่วนการบอกตำแหน่งสถานที่ก็ ประเทศ,เมือง ต่างๆนั่นเอง และตัวอย่างที่ดิฉันได้เจอ การใช้  preposition : in มีดังต่อไปนี้ Harold is in Oxford. (ตัวอย่างนี้เป็นPreposition of Place ) What time does your family eat dinner back in Spain?(ตัวอย่างนี้ก็เป็น Preposition of Place เช่นกัน) แต่จากการสนทนานี้ ผู้สนทนาไม่ได้ใช้ Preposition of  Time : in ดิฉันยกตัวอย่างขึ้น เช่น

ส่วน on เราจะใช้กับการบอกเวลาและสถานที่ที่มีความเฉพาะเจาะจง จำง่ายๆว่าจะบอกแคบกว่า in เช่น ถ้าบอกเวลาก็คือ วัน (Friday,Monday  or Sunday) หรือการบอกถึง The Weekend และการบอกสถานที่ก็คือ การบอกตำแหน่งถนนต่างๆ ตัวอย่างที่ดิฉันได้เห็นที่ผู้สนทนาใช้ Preposition of  time : on คือ I start classes on Wednesday. . (ตัวอย่างนี้เป็นPreposition of  Time ) Video store on the high street. (ตัวอย่างนี้เป็นPreposition of  Place ) และสุดท้าย  at เราจะใช้กับการบอกเวลาและสถานที่ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า  on เข้าไปอีก เช่นถ้าบอกเวลาก็ บอกเป็นชั่งโมง ว่ากี่ชั่งโมง เวลาเท่าไร บอกเป็นนาที และถ้าระบุสถานที่ก็บอกแบบเจาะจงไปเลยว่า อยู่ซอยที่เท่าไร ถนนชื่ออะไร ตัวอย่างที่ผู้สนทนาใช้ในการสนทนาของ at คือ We eat dinner at ten o’clock. . (ตัวอย่างนี้เป็นPreposition of  Time ) และ Just make the left at the top of our road onto Hornton. . (ตัวอย่างนี้เป็นPreposition of Place ) ซึ่งจากประโยคดังกล่าว onto ก็เป็น Preposition เช่นกัน แปลว่า ไปยัง  

และจากการดูวิดีโอการฝึกภาษาอังกฤษนี้ดิฉันได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ ก็คือ jealous : อิจฉา , ขี้หึง , หวงแหน ซึ่งมาจากประโยคที่ผู้สนทนาพูดถึงคือ Betty is jealous. คำต่อมาคือ คำว่า  Delightful : น่าปิติยินดี , น่าพอใจ และคำนี้ สามารถทำให้ดิฉันทบทวนเรื่องของ Morphology หน่วยของคำ ซึ่งคำว่า delightful สามารถ แยกหน่วยคำได้ root ของคำนี้คือ light  หมายความว่าแสง prefix คือ de- = delight หมายความว่า ความยินดี ซึ่งมี part of speech เป็นคำนาม ส่วน suffix คือ –ful = delightful คำนี้จะมี part of speech เป็น Adjective นอกจากนนี้คำๆนี้สามารถเป็น Adverb ได้อีกด้วยโดยการเติม suffix คือ –ly จะได้คำว่า delightfully ซึ่งจะหมายความว่า อย่างยินดี ตัวอย่างเช่น They had a delightful holiday. นอกจากนี้คำว่า of course! เป็นคำที่ดิฉันเจอบ่อยมากในการสนทนานี้ ซึ่ง มันหมายถึง แน่นอน อะไรประมานนี้ เช่น Of course! Betty is jealous.

จากการได้เรียนวิชาภาษาศาสตร์สำหรับครูสอนภาษาอังกฤษนั้น ได้มีการสอบสอนในเรื่องของ part of speech โดยในระหว่างการสอบสอนอาจารย์ผู้สอนจะมีคำถามเพื่อสังเกตความมั่นใจในการตอบ ซึ่งมีอยู่หนึ่งคำถามที่อาจารย์ถามกับเพื่อนดิฉันและดิฉันคิดว่ามันเป็นคำถามที่ดิฉันก็ไม่รู้เช่นกัน คือ อาจารย์ถามว่า yourself กับ yourselves แตกต่างกันยังไง ดิฉันยอมรับเลยว่า เจอ yourself อยู่บ่อยๆ แต่ yourselves นี่ไม่น่าจะเคยเจอ ดิฉันจึงได้หาข้อมูลเพื่อไขข้อสงสัย ได้ความรู้ดังนี้ yourself ใช้เมื่อประธานของประโยคเป็น you เมื่อหมายถึง you คนเดียว ส่วน yourselves ใช้เมื่อประธานของประโยคเป็น you เมื่อหมายถึง you หลายคน ซึ่งสรุปได้ว่า yourself เป็นเอกพจน์ และ yourselves เป็นพหูพจน์นั่นเอง ตัวอย่างประโยค เช่น Emma, did you take the photo all by yourself? และTim and Gerry, if you want more milk, help yourselves.

            นอกจากนี้ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลง Sugar ของ Maroom 5 ซึ่งความรู้ที่ได้รับจาการฟังเพลงที่ดิฉันสังเกตได้มีดังต่อไปนี้ จากเพลงดิฉันได้สังเกตเห็นการใช้ wanna และ gonna จากประโยคในบทเพลงคือ I don't wanna be needing your love. , I just wanna be deep in your love. , I just wanna be there where you are And I gotta get one little taste ซึ่ง wanna นั้น ย่อมาจาก want to สามารถใช้ควบคู่กับประธาน I, You, We, They, กับนามพหูพจน์ได้ แต่ไม่ได้ใช้กับ He, She, It, หรือนามเอกพจน์เพราะประธานเหล่านี้ใช้ wants to ตัวอย่างประโยคของการใช้ want to เช่น Where do you want to go? เมื่อเปลี่ยนจาก want to เป็น wanna จะได้ว่า Where do you wanna go?  ส่วน gonna ย่อมาจาก going to ซึ่งแปลว่า จะ ตัวอย่างประโยคเช่น I’m gonna go to the store. จากนนี้ยังมีคำที่เจอบ่อยแต่ไม่มีในเพลงนี้คือ gotta  ซึ่งย่อมาจาก got to จะใช้คู่กับ have  เช่น I have gotta go.

            มากกว่านี้ในบทเพลงนี้มีการใช้คำว่า yeah ซึ่งมีความหมายว่า ใช่ เช่นเดียวกับกับคำว่า yes ทั้งสองคำนี้ก็มีในเนื้อเพลงด้วยคือ Yeah, you show me good loving และ Yes, please นั่นเอง ยังมีคำอื่นๆอีกที่มีความหมายเดียวกับคำสองคำนี้ คือ yep และ yup ทั้งหมดนี้ มีความหมายเหมือนกันก็จริงอยู่แต่ก็มีความแตกต่างทางด้านการใช้คือ ถ้า yep จะประมาณว่า เออ อือ อะไรประมาณนี้ ส่วน yeah ก็จะเหมือนกับตอนที่เราพูดว่า ใช่  มันใช่อ่ะประมาณว่าใส่อารมณ์เข้าไปด้วย แต่ส่วนใหญ่เราจะใช่ yes กันบ่อยที่สุด นอกจากนนี้ดิฉันได้สังเกตเห็นประโยคๆหนึ่งในเพลงคือ  When I’m without ya. ประโยคนี้มีคำว่า ya ดิฉันรู้สึกไม่คุ้นจึงได้ศึกษาค้นคว้าคำตอบได้ว่า ya ย่อมาจาก you เป็นคำที่วัยรุ่นในอเมริกาใช้กัน เมื่อรู้ว่า ya ย่อมาจาก you ดิฉันนึกได้ว่าเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง นักแสดงจะพูด see ya เกือบทั้งเรื่อง ซึ่งมาจาก see you นั่นเอง       

ดิฉันได้พัฒนาทักษะการอ่านโดยการ ฝึกอ่านบทความสั้นๆจาก แอปพลิเคชั่น ที่ชื่อว่า LearnEnglish ซึ่งมันเป็นแอปพลิเคชั้นที่มีทั้งบทความสั้นๆ และข่าวสั้นๆต่างๆมากมายรวบรวมอยู่ โดยบทความที่ดิฉันได้อ่านมีชื่อว่า Cowboys จากการอ่านได้รับความรู้ต่างๆดังนี้ บทความเรื่องนี้มีประโยคเรื่องของ Adjective Clause ตัวอย่างประโยค An early cattleman developed the chuck wagon, which were both a supply wagon and a portable kitchen. ซึ่งจากประโยค ตัว relative pronoun คือ which ที่ไปขยายกรรมของประโยคข้างหน้า คือ the chuck wagon เราสามารถใช้ that แทน which ได้

สิ่งต่อมาที่ดิฉันได้เรียนรู้จากบทความนี้คือ Transition words  มากมายหลายคำที่ปรากฏอยู่ในบทความ ซึ่ง Transition words เป็นคำ หรือ กลุ่มคำที่ใช้เชื่อมประโยคหรือข้อความเพื่อให้เกิดใจความที่ราบรื่นสมบูรณ์ และเป็นการบอกผู้อ่านว่าข้อความนี้เป็นไปในทิศทางใด ซึ่ง Transition words มีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม Agreement / Addition / Similarity กลุ่มที่เป็นคำเชื่อมที่แสดงถึงการคล้อยตาม เพิ่มความหรือแสดงความที่เหมือนกัน คำเชื่อมกลุ่มนี้ดิฉันไม่เจอในบทความ กลุ่มที่ 2 คือ Opposition / Limitation / Contradiction เป็นกลุ่มคำเชื่อที่แสดงความขัดแย้ง คำเชื่อมกลุ่มนี้ดิฉันได้เจอในบทความคือคำว่า of course ตัวอย่างประโยคจากบทความ Of course, cowboys have a history before 1860.

คำเชื่อมกลุ่มที่ 3 คือ Examples / Support / Emphasis เป็นกลุ่มคำเชื่อที่แสดงตัวอย่าง การสนับสนุน และการเน้นย้ำ คำเชื่อมกลุ่มนี้ดิฉันได้เจอในบทความคือคำว่า especially แปลว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวอย่างประโยคจากบทความ One of the biggest difficulties was getting the herd across rivers, especially when the river was high. คำเชื่อมกลุ่มที่ 4 คือ Cause / Condition / Purpose เป็นกลุ่มคำเชื่อมที่แสดงสาเหตุ เงื่อนไข และวัตถุประสงค์ คำเชื่อมกลุ่มนี้ดิฉันไม่เจอในบทความ กลุ่มคำเชื่อมต่อมาคือ Conclusion / Summary / Restatement กลุ่มคำเชื่อมนี้แสดงการสรุป คำเชื่อมกลุ่มนี้ดิฉันได้เจอในบทความคือคำว่า In fact แปลว่า โดยแท้จริงแล้ว  ตัวอย่างประโยคจากบทความ In fact, there were Mexican cowboys long before that. และกลุ่มคำเชื่อมคำต่อมาคือ Time  / Chronology / Sequence เป็นกลุ่มคำเชื่อมที่แสดงเวลา ลำดับการเกิดก่อนหลังคำเชื่อมกลุ่มนี้ดิฉันได้เจอในบทความคือคำว่า After แปลว่า หลังจาก ตัวอย่างประโยคจากบทความนี้คือ After the long cattle drive, cowboys who had just been paid went wild.และ After the prairies were fenced in, there was less work.

จากการเรียนรู้นอกห้องเรียนดิฉันคิดว่าความรู้ต่างๆที่ดิฉันได้รับจากการฝึกฝนนั้นสามารถนำไปต่อยอดกับการเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฟังการสนทนาภาษาอังกฤษจากวิดีโอ ทำให้ดิฉันได้พัฒนาทักษะการฟังและได้ทบทวนความรู้เก่าๆไปในเวลาเดียวกันในเรื่องของการใช้ tense , รูปแบบประโยค , ได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ๆ ได้รู้จักการสังเกตคำที่เกิดขึ้นในบทสนทนา หรือจากการฟังเพลงที่ได้คำศัพท์ที่เราสงสัย ได้ได้นำดิฉันไปสู่การศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพื่อให้ได้รับความรู้กลับมาและยังได้ความบันเทิงจากการฟังเพลงอีกด้วยและสุดท้ายได้รับการอ่านจากบทความ คือ คำศัพท์ ประโยค และการสร้างนิสัยในการรักการอ่านอีกด้วย

 

           

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น