วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning log 3 (สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน)


จากการเรียนรู้ในห้องเรียนดิฉันได้รับความรู้ต่างๆ มากมาย ทั้งนำไปใช้ได้ในการเรียนและในการดำเนินชีวิต ทุกอย่างล้วนแล้วจะมีประโยชน์ต่อดิฉันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการวัดการเรียนการสอนแบบ Teach Less,Learn more สอนให้น้อย เรียนให้มากนั้นเอง ต่อมาจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนอีกหนึ่งรูปแบบ คือ blended learning เป็นการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีผสมผสานในการเรียนนั้นเอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดิฉันสามารถนำไปใช้หรือประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต จากนั้นได้เรียนรู้เกี่ยวกับ TOEFL และ IELTS ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปที่ดิฉันจำเป็นต้องรู้ว่าเราใช้ TOEFL และ IELTS เออะไรและเราควรเตรียมตัวอย่างอะไรในการสอบทั้งสองอย่างนี้ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง Linguistics ว่ามีองค์ประกอบใดบ้าง และแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์ อย่างไร และนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง

รูปแบบการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ เช่น การสอนแบบ Teach Less,Learn more สอนให้น้อยแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรูปแบบการเรียนการสอนคือ blended learning เป็นการเรียนแบบผสมปสาน โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน เพราะจะเห็นได้ว่าในโลกปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก เด็กในปัจจุบันก็คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมาก การเรียนการสอนแบบนี้ จึงน่าจะเป็นการเรียนการสอนที่ดี ตัวอย่างการเรียนการสอนแบบ blended learning เช่น ผู้สอนนำเสนอเนื้อหาบทความไปแปะไว้บนเว็บไซต์ จากนั้นติดตามการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ e-learning ด้วยคอมพิวเตอร์ในห้องแล็ป หลังจากนั้นสรุปบทเรียนด้วยการร่วมกันอภิปราย

นอกจากได้รับรู้วิธีการสอนแบบต่างๆไปแล้ว ยังได้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่มีความสำคัญกับดิฉันคือ การสอบวัดทักษะทางภาษาอังกฤษ TOEFL และ IELTS ซึ่ง TOEFL คือ การทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับมีการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าคุณต้องการศึกษาต่อที่ไหนการสอบ TOEFL สามารถช่วยให้เราให้บรรลุผล โดยการสอบ TOEFL เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ เพื่อใช้ประเมินความสามารถด้านภาษาของผู้ที่สอบ เรียน หรือ ทำงาน ในสถานที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยประเมินความสามารถของผู้เข้าทั้งด้าน ฟัง อ่าน พูด และเขียน และรวมถึงความรู้ทางด้านไวยากรณ์ และคำศัพท์ในการใช้ภาษา และแน่นอนการทดสอบทั้งสองประเภทนี้มีความยากแน่นอนเพราะฉะนั้นการเตรียมตัวในการสอบล่วงหน้าย่อมเป็นผลดีกับผู้เข้าสอบทุกคน

Linguistic เป็นการศึกษาภาษาของมนุษย์ ประกอบด้วย syntax : โครงสร้างทางภาษา  phonetic : การออกเสียง  semantic :ความหมาย ซึ่ง syntax โครงสร้างประโยคนั้นมีความสำคัญต่อการแปลเป็นอย่างมาก และสิ่งที่สำคัญต่อการแปลอีกอย่างคือ tenses หมายถึง กาลเวลา โดยกาลเวลาถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆคือ กาลเวลาในปัจจุบัน Present tense ให้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต สุดท้ายคือ กาลเวลาในอนาคต Future tense ใช้แสดงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจาการแบ่ง Tense               ตามกาลเวลาว่าเป็นปัจจุบัน อดีต และอนาคตแล้ว Tense ยังมีการจัดแบ่งตามลักษณะของการเกิดเหตุการณ์                       อีกด้วย

Tense ที่แบ่งออกตามลักษณะของการเกิดเหตุการณ์ แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ Simple Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นิสัย ข้อมูล ข้อเท็จจริง กลุ่มที่สองคือ Continuous Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น กลุ่มต่อมาคือ Perfect Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง * Tense แต่ละกลุ่มนั้นมีความสำคัญในการสื่อสารเพื่อความเข้าใจ ว่าเหตุการณ์ที่กำลังพูดนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร ถ้าเราพูดผิด Tense อาจจะทำให้เข้าใจผิด หรือตีความหมายผิดพลาดกันได้เลย นอกจากนี้ Tense แต่ละกลุ่มก็สามารถแบ่งได้

 
 
Present simple tense เป็น tense ที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุด และเป็น Tense ที่ง่ายที่สุดซึ่งโครงสร้างคือ Subject + Verb1 จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือการกระทำขณะพูด เช่น Mew has only 10 Bent in pocket หมิวมีเงินเพียง 10 บาท ในกระเป๋าสตางค์ อธิบายได้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบันว่าในขณะนี้หมิวมีเงินเพียง 10 บาท , I feel cold ฉันรู้สึกหนาว เป็นการรู้สึกปัจจุบันว่า ฉันหนาว หรือจะใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ general truths ตัวอย่างเช่น Boiling point of wates is 100.c  จุดเดือดของน้ำคือ 100 องศาเซลเซียส เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ , The sun rises in the east and sets in the west พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก ต่อมาคือ จะใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ทำเป็นกิจวัตร repeated actions ทำซ้ำๆกันเป็นนิสัย habit หรือ การพูดถึงความถี่ของการกระทำ เช่น I go to work by bus everyday. ฉันไปทำงานโดยรถประจำทางทุกวัน และจะมีคำที่แสดงความถี่ คือ everyday , every mc th usually ,often หรือ always เป็นต้น

 
 
Present Continuous Tense มีโครงสร้างคือ   Subject + is /am/are + V ing จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ หรือการกระทำที่กำลังกระทำอยู่ เช่น He is watching the movie เขากำลังดูภาพยนตร์ ,Jane is talking to her friend. เจนกำลังพูดคุยกับเพื่อนของหล่อน ดังตัวอย่างที่กล่าวมา บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่หรือกำลังกระทำอยู่หรือจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำ แม้ในขณะพูด เช่น Mew is practicing singing everyday หมิวกำลังฝึกฝนร้องเพลงทุกวัน คือเขาได้ฝึกร้องเพลงทุกวันและในขณะที่เขาพูดเขาก็กำลังกระทำสิ่งนั้นอยู่ และอาจจะใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น My fish is going  to die. ปลาของฉันกำลังจะตาย บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้

 
 
Present Perfect Tense  รูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + has/have + V3 จะใช้กับเหตุการณ์ที่มีจุดเริ่มจากอดีต และดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เช่น Ai has played tennis since she was young อัยเล่นเทนนิส ตั้งแต่เธอยังเด็ก คือ อัยเล่นเทนนิสตั้งแต่ในอดีตเมื่อยังเป็นเด็กจนถึงปัจจุบันเขาก็ยังเล่นคงเล่นอยู่ หรือจะใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะกระทำเสร็จโดยมักจะใช้ Adverb ต่อไปคือ already (แล้ว) , just (เพิ่งจะ), recently (เร็วๆนี้) เช่น I have just finished my homework. ฉันเพิ่งจะทำการบ้านเสร็จ และจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดครั้งเดียว หรือหลายครั้งในอดีต โดยโยงถึงปัจจุบัน มักจะมีคำเหล่านี้คือ many times (หลายครั้ง) , several times (หลายครั้ง) หรือ once (ครั้งหนึ่ง) เช่น Ida has traveled to Bali many times . ไอด้าเดินทางไปบาหลีมาหลายครั้ง

 
 
Present Perfect Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + has/have +been+ Ving ซึ่งจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินการจนถึงปัจจุบันและกำลังดำเนินอยู่ต่อไป เช่น I have been running for 20 minutes. ฉันวิ่งมาเป็นเวลา 20 นาทีแล้ว คือเขาได้วิ่งมาแล้ว 20 นาที และเขาก็กำลังวิ่งต่อไป, I have tired because I have been escaping from the flood. ฉันเหนื่อยเพราะว่าฉันเพิ่งหนีเหตุการณ์น้ำท่อมมา ประโยคนี้แสดงให้เห็นวา การหนีน้ำท่อมได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในอดีตและดำเนินมาเรื่อยๆ จนเพิ่งจบลงไม่นานในปัจจุบัน แต่ยังมีผลกระทบที่ส่งมาถึงปัจจุบันคือความเหนื่อย

 
 
ต่อมาจะเป็นกลุ่มของ Past tense ซึ่ง Tense แรกคือ Past simple Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + Verb 2 จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเหตุการณ์นั้นได้จบลงแล้ว อาจจะมี Adverb ที่แสดงถึงเวลาในอดีตคือ yesterday (เมื่อวานนี้), last night (เมื่อคืนนี้), last month (เดือนที่แล้ว), last year (ปีที่แล้ว) และ ago (มาแล้ว) เช่น I was born in New York.ฉันเกินในนิวยอร์ก, I watched 3 movies last night. ฉันดูหนัง 3 เรื่องเมื่อคืนนี้ หรือใช้กับกิจวัตรประจำวันและสิ่งทีทำสม่ำเสมอในอดีต เช่น I always watched the cartoon when I was a child. ฉันมักจะดูการ์ตูนเสมอเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เป็นการแสดงถึงว่า การดูการ์ตูนเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในอดีต เมื่อตอนเด็ก

 
 
Past Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยค คือ Subject + was/were+Ving จะใช้สื่อสารถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้ดำเนินอยู่ในอดีตขณะนั้น เช่น My baby was crying at 11 pm last night. ลูกของฉันกำลังร้องไห้เมื่อเวลา 11 โมง เมื่อคืนนี้ หรือใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีตจะใช้ Past Continuous Tense และจะมีเหตุการณ์ที่เข้ามาขัดจังหวะ จะใช้ Past Simple Tense โดยมีคำเชื่อมคือ when, while เช่น My wife was watching TV when I came back home. และอาจจะใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกันในอดีต เชื่อมด้วย While เช่น It was raining while I was swimming in the pool. ฝนกำลังตกในขณะที่ฉันกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ จากตัวอย่างทั้งสองประโยคเกิดขึ้นพร้อมกัน


 

Past perfect Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + has+V3 ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินขึ้นช่องหนึ่งและจบในอดีต ตัวอย่างเช่น I had never eaten Indian food until yesterday. ฉันไม่เคยทานอาหารอินเดียมาก่อนจนกระทั้งเมื่อวานนี้ She had finished her work before 11 pm. หล่อนทำงานของหล่อนเสร็จก่อน 11 โมง คือการทำงานเสร็จได้ดำเนินมาจนถึง 11 โมง ซึ่งเป็นเวลาในอดีต หรือใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบก่อนใช้ Past perfect Tense และจะมีเหตุการณ์ที่เกิดที่หลังใช้ Past Simple Tense ตัวเชื่อมประโยค when, before, after, เช่น She had cleaned her house when her boyfriend arrived. หล่อนทำความสะอาดบ้านเสร็จ ตอนแฟนหนุ่มของเธอมาถึง



Past Perfect Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + had +been+ Ving ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ คือมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบก่อนใช้ Past Perfect Continuous Tense (เน้นเรื่องความต่อเนื่องของสิ่งที่เกิดขึ้น) และมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หลังใช้ Past Simple Tense ใช้ตัวเชื่อมประโยคคือ when, before, after เช่น My sister had been singing for 2 hours before I arrived home. น้องสาวของฉันกำลังร้องเพลงมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน I turned on TV after my baby had been sleeping for 3 hours.  ฉันเปิดโทรทัศน์หลังจากลูกของฉันกำลังหลับไปแล้วเป็นเวลา 3 ชั่วโมง อธิบายคือ I tuned on TV เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังและ my baby had been sleeping เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน

 
 
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่เราใช้ในอนาคต คือ Future Tense แบ่งได้ดังต่อไปนี้ ลำดับแรก เป็น Future Simple Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยค Subject +will/shall+ Verb1 จะใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยสามารถใช้ Adverb ที่แสดงถึงอนาคตในประโยค คือ tonight (คืนนี้), tomorrow (พรุ่งนี้), next year (ปีหน้า), next month (เดือนหน้า), next week (สัปดาห์หน้า) เช่น Next year, I will travel to London. ปีหน้าฉันจะเดินทางไปลอนดอน หรือใช้ในการคาดเดา เช่น According to the weather forecast,it will rain tomorrow จากการพยากรณ์อากาศ ฝนจะตกวันพรุ่งนี้ หรืออาจจะใช้ใน if – clause ในเงื่อนไขที่มีความเป็นไปได้ในอนาคต รูปประโยคคือ If s + V1 , s + will + V1 เช่น IF he studies hard, he will pass the exam.ถ้าเขาศึกษาอย่างหนักเขาจะสอบผ่าน



Future Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + will / shall + be + Ving ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตโดยบอกว่ากำลังจำทำสิ่งนั้นอยู่ ในอนาคต ณ เวลาหนึ่ง เช่น Tomorrow morning at 10 o’clock, I will be playing tennis. พรุ่งนี้เช้าเวลา 10 นาฬิกา ฉันกำลังเล่นเทนนิส เป็นการบอกเวลาไว้แน่นอนว่า 10 นาฬิกาจะไปเล่นเทนนิสแน่ๆ หรืออาจใช้ร่วมกับ Future Simple Tense โดยเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะดำเนินอยู่ใช้ Future Continuous Tenseส่วนสิ่งที่เขามาขัดจังหวะจะใช้เป็น Future Simple Tense เช่น Min will be calling Jane when is girlfriend arrives.  มินควรจะกำลังโทรไปหาเจนเมื่อแฟนเขามาถึง ประโยคนี้จะเห็นได้ว่า มีเหตุการณ์ที่จะกำลังกระทำอยู่ในอนาคตคือ เขาคงจะกำลังโทรไปหาเจน และจะมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง เข้ามาขัดจังหวะคือ แฟนของเขามาถึง



 
 
Future Perfect Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + will + have +V3 ใช้เหตุการณ์ที่จะเสร็จสิ้นแล้วในอนาคต ร เวลาที่กล่าวถึง เช่น I will have finished my project when you arrive here. ฉันจะทำโปรเจคของผมเสร็จเมื่อคุณมาถึงที่นี้ มีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนและ Tense
 
 
สุดท้ายคือ Future Perfect Continuous Tense เป็น Tense ที่ไม่นิยมใช้กันสักเท่าไร มีรูปแบบโครงสร้างคือ Subject + will/shall + have +  been + Ving ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินทั้งแต่อดีต ดำเนินมาถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปในอนาคต เช่น By next month , I will have been marrying my wife for 10 years. ในเดือนหน้าฉันจะแต่งงานกับภรรยาของฉันเป็นระยะเวลา 10 ปี และจะใช้กับเหตุการณ์ที่จะกำลังดำเนินในอนาคตและจำดำเนินต่อไป เช่น I will have been studying for 3 hours by the time my parents arrive home. ฉันจะกำลังศึกษาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เมื่อพ่อกับแม่ฉันมาถึงบ้าน

จากการได้เรียนรู้ในห้องเรียนดิฉันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตหรือในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Teach less , Learn more และ Blended learning เรื่องของ TOEFL และ IELTS ที่มีความจำเป็นต่อดิฉันในวันข้างหน้า และที่สำคัญคือเรื่องของ Tenses ทั้ง 12 Tenses ที่ช่วยดิฉันในการแปลมากยิ่งขึ้น ในบาง Tense ดิฉันก็อาจจะมีความรู้บ้างแต่เมื่อได้ทบทวนก็ทำให้รูเลยว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่ดิฉันยังไม่ชัดเจน และต้องพัฒนาอีกเยอะเพราะ Tense สำคัญทั้งด้านพูดและเขียน หากเราใช้แบบผิดๆ ไป ก็อาจจะทำให้การสื่อสารมีความผิดเพี้ยนหรือเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดได้ ฉะนั้นการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเรียนรู้ของเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น