วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning log 3 (สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน)


การใช้สื่อมีเดียก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน ดิฉันจึงเลือกการดูหนังภาพยนตร์ เพื่อฝึกทักษะการฟังและการอ่านในภาษาอังกฤษ โดยดูเรื่อง Charlie and Chocolate Factory  เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับทั้งความรู้ภาษาอังกฤษและได้ข้อคิดที่สะท้อนถึงสังคมในปัจจุบันว่าเด็กๆถูกเลี้ยงดูอย่างไร นอกจากรี้ดิฉันยังได้ค้นคว้าเรื่องของ Phrasal verbs ซึ่งเรามักจะเจอในข้อสอบหรือในบทความต่างๆ ซึ่ง Phrasal verb ก็เกิดจากคำกริยาทั้งที่ถูกเติมด้วย Preposition หรือ Particle จึงทำให้เกิดศัพท์ใหม่ ความรู้ใหม่ ดังนั้นดิฉันจึงต้องค้นคว้าเพื่อเติมความรู้เดินที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด

จากการได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Charlie and Chocolate Factory นั้นดิฉันมีวิธีการดูเพื่อให้ได้รับความรู้คือ การเลือกภาษาอังกฤษในการฟังก่อนและเลือก subtitle เป็นภาษาอังกฤษเช่นกันก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้างแต่เมื่อมองดูภาพและจินตนาการไปด้วยก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น หลังจากนั้นเมื่อดูจบ ดิฉันก็ดูครั้งที่ 2 แต่ครั้งที่ 2 ดิฉันเปลี่ยน subtitle เป็นภาษาไทย จึงสามารถเข้าใจได้เพิ่มมากขึ้นในการดูมีทั้งคำศัพท์ใหม่ๆมากมายที่เราไม่รู้ ทั้งสำเนียงที่บางคำฟังยากอยู่พอสมควรและได้ทั้งข้อคิดดีๆจากเรื่องนี้มากมาย และที่สำคัญได้ทั้งความสนุก เพลินเพลินอีกด้วย

หนังภาพยนตร์เรื่อง Charlie and Chocolate Factory เป็นภาพยนตร์ สะท้อนสังคมในการเลี้ยงดูบุตรหลาน คือ ณ เมืองๆหนึ่งมีโรงงานช็อกโกแลตเพื่อหาแผ่นทองคำนั้น หลังจากนั้นมีผู้โชคดี 5 คนได้มาปรากฏตัว  มีอยู่ 4 คน ที่เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ด้วยการตามใจ แต่ต่างกับ ชาลี เด็กร้อยผู้ที่ 1 ปี จะได้กินซ็อกโกแลตแค่แท่งเดียว และรางวัลทั้ง 5 คน คือการไปเยี่ยมชมโรงงานช๊อกโกแลต  ที่ใหญ่และอลังการมากนั้นเอง และเจ้าของโรงงานได้เริ่มพาทุกคนเข้าไปเยี่ยมในโรงงานจากนั้นบรรดาเด็กๆก็หายไปทีละคนๆเพราะความเห็นแก่ตัว ความอยากชนะ ความโลภมาก ความหยาบคาย นั้นเองซึ่งเหลือแค่ชาลี ที่ถูกเลี้ยงด้วยลุงของเขามาเป็นอย่างดี เป็นผู้ชนะและได้รับรางวัลไป

สิ่งที่ดิฉันได้จากการดูคือสะท้อนให้เห็นว่าหากผู้ใหญ่เลี้ยงลูกตามใจตนเอง ให้คิดแต่ตนจะเป็นผู้ชนะหรือหยาบคาย จะทำให้เด็กมีนิสัยแบบนี้ไปเรื่อยๆจนโต หรือบางคนอาจเลี้ยงดูด้วยการให้แต่วัตถุสิ่งของ ไม่เคยให้ความรักเลย ในทางกลับกันผู้ใหญ่ต้องสอนให้เด็กคิดเป็นทำเป็นรู้จักให้ความรัก ความสุขอยู่เสมอ เด็กก็จะดีและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ นอกจากนี้ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าหนังภาพยนตร์ เรื่องนี้ ยังมอบความรู้ทักษะการฟัง และอีกอย่างคือทำให้ ดิฉันได้รู้จักคิดวิเคราะห์อีกด้วย

นอกจากที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังไปแล้ว ดิฉันยังได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง Phrasal verb ซึ่งเป็นการใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่จะมีการเพิ่มส่วนประกอบ คือ Verb + preposition or particle มารวมกันเป็น phrasal verb แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหลักการสำคัญในการใช้ ดังนี้ ประการแรก คือ เมื่อไม่มีกรรมตรงต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น please come in ประการที่สอง คือ เมื่อมี object pronoun เช่น her,him,it,them,me,us เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น I can’t make it out ต่อมาคือ เมื่อมี noun เช่น book,pen,houses,etc เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้ เช่น Turn on the light หรือ Turn the light on.

Phrasal verb มีมากมายหลากหลาย ดิฉันพบเพลงๆหนึ่งที่สามารถทำให้เราจำได้และสนุกไปด้วย ซึ่งซื่อเพลงว่า อาซิ้ม เป็นเพลงที่บอกคำศัพท์ให้เป็นเรื่องราว ซึ่งจะมี Verb คือ Turn และจะมี preposition มาเพิ่มทำให้กลายเป็น phrasal verb เนื้อเพลงมีอยู่ว่า Turn of TV.มัน Turn off อารมณ์ให้หมดไป แต่ Turn on TV.มัน Turn on อารมณ์ให้เร้าใจ พอ Turn up ให้ดัง ฉันเห็นเธอ Torn up ขึ้นบนจอ อยากดูต่อไม Turn over เปลี่ยนช่องเลย * แต่ซิ้มของฉันแก่ Turn down. ลดเสียง,ปฏิเสธฉันเราจึง Turn against เป็นศัตรูกัน ซิ้มกับฉัน ซิ้มกับฉัน**ซิ้มไม่ยอม ซิ้มจะปิดไฟ,เข้านอน Turn out  Turn in ใจซิ้มๆของซิ้ม Turn into ก้อนหิน ขู่ว่าจะ Turn me in ส่งฉันมอบตัว เนื้อเพลงประมาณนี้ จากการฟังทำให้ฉันสามารถจำได้อย่างเร็วว่า phrasal verb แต่ละคำมีความหมายว่าอย่างไรบ้าง เพลงนี้ได้ทั้งความรู้และเพลิดเพลินอีกด้วย     เพลงอาซิ้ม and I

จากการได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งในการดูภาพยนตร์และการศึกษาเกี่ยวกับ phrasal verb นั้นดิฉันคิดว่า การดูหนังภาพยนตร์ได้ประโยชน์กับดิฉันมากมายทั้งด้านการฟัง การได้ลองสรุปจากการดูการวิเคราะห์บทและได้คำศัพท์แปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้ทั้งความสนุกสนานในการดูอีกด้วยและดิฉันคิดว่าต้องพัฒนาในด้านทักษะการฟังอีกเยอะ เพราะตอนดิฉันยังฟังไม่เข้าใจมากนัก ต่อมาเป็นเรื่องของ phrasal verb ดิฉันได้รู้เกี่ยวกับวิธีการใช้และได้ฝึกคำศัพท์จากเพลงที่มีคำ phrasal verb อีกด้วย ความรู้ทั้งหมดที่ได้ศึกษาดิฉันจะนำไปพัฒนาให้ดีขึ้น

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น