วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning log 4 (สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน)


                               การเรียนรู้นอกห้องเรียน เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้ดิฉัน รู้สึกเพลิดเพลินเพราะเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการความรู้ ความสนใจของผู้เรียนเอง ดิฉันก็เช่นกัน ดิฉันมีความสนใจในเรื่องของเพลงสากลอยากรู้ว่าเพลงสากลมีประโยชน์กับเรามากน้อยแค่ไหน อยากรู้ว่าเพลงๆหนึ่งสามารถช่วยให้เราพัฒนาด้านไหนได้บ้างในทักษะภาษาอังกฤษ และทำอย่างไรถึงจะสามารถร้องและเข้าใจเพลงได้อย่างรวดเร็ว เรื่องต่อมาที่ดิฉันได้ไปศึกษานอกห้องเรียนคือ การจำคำศัพท์ให้ง่ายขึ้น มีวิธีไหนที่น่าสนใจบ้าง เพื่อจะได้นำวิธีนั้นมาพัฒนาตนเอง การเรียนนอกห้องเรียนทำให้ดิฉันได้สนุกได้รู้เทคนิคต่างๆและยังได้เพลิดเพลินอีกด้วย

                                เพลงสากลเป็นสื่อการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่ดิฉันรู้สึกสนใจมาก เนื่องจากในหลายๆครั้งดิฉันเห็นคนรอบข้างชอบฟังและร้องตาม ดิฉันรู้สึกประทับใจและคิดว่าเพลงสากลสามารถทำให้เราได้พัฒนาทางด้านภาษาอังกฤษได้แน่ๆ ดิฉันจึงลองค้นหาจากการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่นในอินเตอร์เน็ตพบว่ามีหลายคนที่ฝึกทักษะภาษาอังกฤษจากการฟังเพลง ทั้งด้านการฟัง การร้องตาม(สำเนียง) ได้ทั้งคำศัพท์ใหม่ การแปลความหมายจากบทเพลงซึ่งแค่ฟังเพลงสากล เราก็สามารถฝึกได้หลายอย่างทั้ง ฟัง ออกเสียง การเขียนแปล การฟังเพลงสากลมีประโยชน์มาก ได้ทั้งความรู้ ความเพลิดเพลินและสนุกได้ด้วยจากการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่นในอินเตอร์เน็ตจึงทำให้ดิฉันอยากพัฒนาตังเอง ค้นหาเทคนิคต่างและลองฝึกดู

                                ซึ่งเทคนิคในการฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง มีดังนี้ คือ อันดับแรกเราต้องรู้จักแหล่งเพลงดีๆไม่ว่าจะทาง YouTube หรือ Vimno ทั้งสองเว็บนี้จะมีเพลงดีๆอยู่มากและถ้าเลือกเพลงก็ควรมีเนื้อร้องประกอบไปด้วยจำทำให้การหัดเพลงภาษาอังกฤษง่ายขึ้น ขันตอนต่อมาคือ การเลือกเพลงให้เหมาะสม ควรเลือกเพลงที่ชอบ จะทำเราจดจ่ออยู่กับการฝึกได้นานขึ้น เลือกเพลงที่ภาษาไม่ง่ายหรือยากเกินไป ควรเลือกเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวพอให้นึกภาพได้ หากเริ่มฝึกแบบมีพื้นฐานน้อยมาก อาจลองเลือกเพลงจากการ์ตูนก่อนก็ได้ หรืออาจจะฝึกจากเพลงป๊อป เพราะเพลงส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับความรัก ความโรเมนติก มีคำศัพท์ง่ายๆ ซ้ำๆจะทำให้เราชำนาญมากยิ่งขึ้น แล้วค่อยไปฝึกเพลงประเภทอื่น

                                เทคนิคถัดไปคือฝึกอย่างเป็นชั้นเป็นตอน การอ่านเนื้อเพลงตามไปด้วยจะทำให้เข้าใจความหมายของเพลงมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าฟังช่วงแรกๆไม่ต้องดูเนื้อก่อนก็ได้ ให้ฝึกเขียนคำศัพท์ หรือจับใจความประโยคออกมาให้ได้ ต่อมาคือร้องตามอย่างเต็มเสียง ขยับปากให้เต็มที่เพื่อเป็นการฝึกกล้ามเนื้อริมฝีปาก เพราะในภาษาอังกฤษมีการใช้กล้ามเนื้อริมฝีปากมากกว่าภาษาไทย ฝึกบ่อยๆจะทำให้สำเนียงเราดีขึ้น เทคนิคต่อมาคือการฟังเพลงสลับไปสลับมาและค้นหาเพลงใหม่ที่มีระดับยากขึ้น เพื่อฝึกประสิทธิภาพในการท้าทายตัวเองซึ่งส่วนใหญ่มักมีสำนวนและคำศัพท์ใหม่ๆ การฝึกเพลงควรฝึกวันละ 1-2 ชั่วโมง และอย่าทิ้งสิ่งที่เราตั้งใจไว้กลางทาง จงเชื่อเสมอว่าเราต้องทำได้

                                หลังจากค้นคว้าหาเทคนิคการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากเพลงเสร็จ ดิฉันลองมาฝึกดูโดยการฟังเพลง Way Back into Love โดยอันดับแรกลองฟังเพลงดูก่อน แล้วก็ลองดูเนื้อเพลงพบว่ามีคำศัพท์บางคำที่ยังไม่รู้ และเนื้อเพลงเป็นโครงสร้างรูปแบบประโยคที่ดิฉันรู้สึกคุ้นเคย ดังตัวอย่างบางส่วนของเพลง I have been living with a shadow overhead .I have been sleeping with a cloud above my bed. I have been lonely for so long. Trapped in the past I just can  not seem to move on. จากการที่ดิฉันสังเกตประโยคโครงสร้างส่วนใหญ่จะเป็นรูปประโยคของ Present Perfect Continuous Tense นอกจากนี้ดิฉันยังได้คำศัพท์ใหม่ที่ไม่รู้มาก่อนคือ Trapped : วนอยู่กับ/ที่ติดกับ นั้นเอง

                                นอกจากนี้ดิฉันยังลองฝึกอีกท่อนของเพลงเดิม All I want to do is find a way back into love. I can not make it through without a way back into love And . if I open my heant again I guess I am hoping you well be there for me in the end และลองพยายามแปลเนื้อเพลงให้เป็นภาษาไทยก็ทำให้เข้าใจอรรถรสของเพลงนี้มากยิ่งขึ้น คำศัพท์ในท่อนนี้ก็ไม่ค่อยยากจึงทำให้รู้สึกเพลิดเพลินกับการแปลและการฟังเพลงไปด้วย แต่ทั้งนี้ยังมีเพลงบางประเภทที่มีทำนองเนื้อร้องที่เร็วเกินไป จนทำให้ร้องและฟังไม่ทัน แต่ดิฉันคิดว่าจะเริ่มฟังเพลงสบายๆให้ชินก่อนหลังจากนั้นจะฝึกเพลงสากล แบบเร็ว เผื่อเราจะทำได้ดีขึ้น

                                หลังจากนี้ดิฉันได้ค้นคว้าหาเทคนิคการจำคำศัพท์ให้ง่ายขึ้น โดยได้เจอเทคนิคการท่องศัพท์ การจำคำศัพท์คล้องจ้อง การอ่านคำศัพท์ด้วยคำคล้องจ้องภาษาอังกฤษทำให้เราทราบความหมายของคำศัพท์ การออกเสียงคำศัพท์ที่มีรูปเสียงคล้ายกันสัมผัสเหมือนกันทำให้เข้าใจความหมายและการออกเสียงมากขึ้นสนุกกับการคล้องจ้องของแต่ละคำอีกด้วย ดังบทความที่ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.2541) ... นักการศึกษาหลายท่านพยายาม ให้ยกเลิกการท่องจำ โดยกล่าวว่าเป็นการปิดกั้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่ข้าพเจ้าเกิดความสงสัยว่า ถ้าไม่มีข้อมูลแล้วจะเอาอะไรเป็นพื้นฐานความคิด การท่องจำบทกวี ทำให้เห็นได้ศัพท์มาแต่งของตนเอง ของบางอย่างติดอยู่ในสมองแล้วก็ทำให้คิดได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะไม่ต้องการข้อมูลอีกแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นการฝึกความจำ ฝึกสมาธิไม่ให้ฟุ้งซ่าน

                                ตัวอย่างคำศัพท์คล้องจ้อง son บุตรชาย ขาย sell tell บอก ออก out cow แม่วัน หัว head get ได้รับ จับ tch mat เสื่อ เสือ tiger boxer นักมวย สวย beautiful pull ดึง มาถึง arrive advice คำแนะนำ จำ remember เป็นต้น ซึ่งจากการที่ดิฉันได้ลองอ่านคำศัพท์เหล่านี้ ก็รู้สึกว่ามันง่ายขึ้น มันสามารถทำให้เราจำได้ อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆรู้สึกมันมีทำนองการคล้องจ้อง ซึ่งดีกว่า การอ่านท่องจำคำศัพท์ทั่วๆไป เพราะทำให้น่าเบื่อไม่มีส่วนที่ทำให้ดึงดูดใจในการฟัง ซึ่งการจำหรือท่องคำศัพท์คล้องจ้องนี้ทำให้จำได้นาน และมีประโยชน์คือสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการเขียนได้คือการดึงคำศัพท์มาใช้เขียนประโยคหรืออื่นๆเป็นต้น

                                นอกจากมีเทคนิคการจำคำศัพท์คล้องจ้องแล้วยังมีวิธีการจำคำศัพท์แบบมากมาย คือ การจักคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น คำว่า ต้องการ : want,need,require,desire เป็นต้น ประการต่อมาคือ การจัดคำศัพท์ที่ในหนึ่งคำมีหลายความหมาย เช่น fair : ยุติธรรม,สวยงาม,งานแสดงสินค้า หรืออาจจะจัดหมวดหมู่คำตามรากศัพท์ เช่น จากรากศัพท์คำว่า tain จะได้คำว่า retain , maintain , contain , detain เป็นต้น ต่อมาอาจจะจัดเป็นหมู่คำตามประเภทของเรื่อง เช่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับ category เกี่ยวกับอาชญากรรม  ซึ่งแบ่งออกเป็น pick-pocket นักล่วงกระเป๋า, mugger ผู้ร้ายชิงทรัพย์ , robber โจรปล้นแบงค์ , burglar โจรย่องเบา และ bandit โจรกระจอก เป็นต้น อาจจะจัดหมวดหมู่อื่นๆเช่น เกี่ยวกับการคมนาคม วันสำคัญ หรือ สถานที่ต่างๆ เป็นต้น

                                จากการเรียนรู้นอกห้องเรียน ดิฉันคิดว่าการร้องเพลงก็คือการพูดแบบมีจังหวะหรือทำนองเข้ามาสอดแทรก หากเราฝึกฝนทุกวัน ซื่อสัตย์กับตนเองในการฝึก เราก็จะได้ประโยชน์หลายด้านมากจากการฟังเพลงไม่ว่าการฟัง การพูดหรือการร้อง ได้ฝึกสำเนียงภาษาของตนเองไปด้วย การอ่านหรือการร้องตามเนื้อเพลงนั้นเอง และได้คำศัพท์ใหม่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และไม่ได้เฉพาะความรู้เท่านั้น การฟังเพลงยังสร้างความเพลิดเพลิน ผ่อนคลายให้กับเราอีกด้วย ต่อมาการจำคำศัพท์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คำศัพท์คล้องจ้อง การจัดคำศัพท์ให้อยู่ในหมวดเดียวกัน ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จากการที่ไม่ชอบจำศัพท์ เมื่อได้ลองฝึกคำศัพท์คล้องจ้อง ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจและดึงดูดให้อยากจำคำศัพท์มากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

 

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning log 3 (สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน)


การใช้สื่อมีเดียก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน ดิฉันจึงเลือกการดูหนังภาพยนตร์ เพื่อฝึกทักษะการฟังและการอ่านในภาษาอังกฤษ โดยดูเรื่อง Charlie and Chocolate Factory  เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับทั้งความรู้ภาษาอังกฤษและได้ข้อคิดที่สะท้อนถึงสังคมในปัจจุบันว่าเด็กๆถูกเลี้ยงดูอย่างไร นอกจากรี้ดิฉันยังได้ค้นคว้าเรื่องของ Phrasal verbs ซึ่งเรามักจะเจอในข้อสอบหรือในบทความต่างๆ ซึ่ง Phrasal verb ก็เกิดจากคำกริยาทั้งที่ถูกเติมด้วย Preposition หรือ Particle จึงทำให้เกิดศัพท์ใหม่ ความรู้ใหม่ ดังนั้นดิฉันจึงต้องค้นคว้าเพื่อเติมความรู้เดินที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด

จากการได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Charlie and Chocolate Factory นั้นดิฉันมีวิธีการดูเพื่อให้ได้รับความรู้คือ การเลือกภาษาอังกฤษในการฟังก่อนและเลือก subtitle เป็นภาษาอังกฤษเช่นกันก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจบ้างแต่เมื่อมองดูภาพและจินตนาการไปด้วยก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น หลังจากนั้นเมื่อดูจบ ดิฉันก็ดูครั้งที่ 2 แต่ครั้งที่ 2 ดิฉันเปลี่ยน subtitle เป็นภาษาไทย จึงสามารถเข้าใจได้เพิ่มมากขึ้นในการดูมีทั้งคำศัพท์ใหม่ๆมากมายที่เราไม่รู้ ทั้งสำเนียงที่บางคำฟังยากอยู่พอสมควรและได้ทั้งข้อคิดดีๆจากเรื่องนี้มากมาย และที่สำคัญได้ทั้งความสนุก เพลินเพลินอีกด้วย

หนังภาพยนตร์เรื่อง Charlie and Chocolate Factory เป็นภาพยนตร์ สะท้อนสังคมในการเลี้ยงดูบุตรหลาน คือ ณ เมืองๆหนึ่งมีโรงงานช็อกโกแลตเพื่อหาแผ่นทองคำนั้น หลังจากนั้นมีผู้โชคดี 5 คนได้มาปรากฏตัว  มีอยู่ 4 คน ที่เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ด้วยการตามใจ แต่ต่างกับ ชาลี เด็กร้อยผู้ที่ 1 ปี จะได้กินซ็อกโกแลตแค่แท่งเดียว และรางวัลทั้ง 5 คน คือการไปเยี่ยมชมโรงงานช๊อกโกแลต  ที่ใหญ่และอลังการมากนั้นเอง และเจ้าของโรงงานได้เริ่มพาทุกคนเข้าไปเยี่ยมในโรงงานจากนั้นบรรดาเด็กๆก็หายไปทีละคนๆเพราะความเห็นแก่ตัว ความอยากชนะ ความโลภมาก ความหยาบคาย นั้นเองซึ่งเหลือแค่ชาลี ที่ถูกเลี้ยงด้วยลุงของเขามาเป็นอย่างดี เป็นผู้ชนะและได้รับรางวัลไป

สิ่งที่ดิฉันได้จากการดูคือสะท้อนให้เห็นว่าหากผู้ใหญ่เลี้ยงลูกตามใจตนเอง ให้คิดแต่ตนจะเป็นผู้ชนะหรือหยาบคาย จะทำให้เด็กมีนิสัยแบบนี้ไปเรื่อยๆจนโต หรือบางคนอาจเลี้ยงดูด้วยการให้แต่วัตถุสิ่งของ ไม่เคยให้ความรักเลย ในทางกลับกันผู้ใหญ่ต้องสอนให้เด็กคิดเป็นทำเป็นรู้จักให้ความรัก ความสุขอยู่เสมอ เด็กก็จะดีและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ นอกจากนี้ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าหนังภาพยนตร์ เรื่องนี้ ยังมอบความรู้ทักษะการฟัง และอีกอย่างคือทำให้ ดิฉันได้รู้จักคิดวิเคราะห์อีกด้วย

นอกจากที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังไปแล้ว ดิฉันยังได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง Phrasal verb ซึ่งเป็นการใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่จะมีการเพิ่มส่วนประกอบ คือ Verb + preposition or particle มารวมกันเป็น phrasal verb แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหลักการสำคัญในการใช้ ดังนี้ ประการแรก คือ เมื่อไม่มีกรรมตรงต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น please come in ประการที่สอง คือ เมื่อมี object pronoun เช่น her,him,it,them,me,us เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น I can’t make it out ต่อมาคือ เมื่อมี noun เช่น book,pen,houses,etc เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้ เช่น Turn on the light หรือ Turn the light on.

Phrasal verb มีมากมายหลากหลาย ดิฉันพบเพลงๆหนึ่งที่สามารถทำให้เราจำได้และสนุกไปด้วย ซึ่งซื่อเพลงว่า อาซิ้ม เป็นเพลงที่บอกคำศัพท์ให้เป็นเรื่องราว ซึ่งจะมี Verb คือ Turn และจะมี preposition มาเพิ่มทำให้กลายเป็น phrasal verb เนื้อเพลงมีอยู่ว่า Turn of TV.มัน Turn off อารมณ์ให้หมดไป แต่ Turn on TV.มัน Turn on อารมณ์ให้เร้าใจ พอ Turn up ให้ดัง ฉันเห็นเธอ Torn up ขึ้นบนจอ อยากดูต่อไม Turn over เปลี่ยนช่องเลย * แต่ซิ้มของฉันแก่ Turn down. ลดเสียง,ปฏิเสธฉันเราจึง Turn against เป็นศัตรูกัน ซิ้มกับฉัน ซิ้มกับฉัน**ซิ้มไม่ยอม ซิ้มจะปิดไฟ,เข้านอน Turn out  Turn in ใจซิ้มๆของซิ้ม Turn into ก้อนหิน ขู่ว่าจะ Turn me in ส่งฉันมอบตัว เนื้อเพลงประมาณนี้ จากการฟังทำให้ฉันสามารถจำได้อย่างเร็วว่า phrasal verb แต่ละคำมีความหมายว่าอย่างไรบ้าง เพลงนี้ได้ทั้งความรู้และเพลิดเพลินอีกด้วย     เพลงอาซิ้ม and I

จากการได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งในการดูภาพยนตร์และการศึกษาเกี่ยวกับ phrasal verb นั้นดิฉันคิดว่า การดูหนังภาพยนตร์ได้ประโยชน์กับดิฉันมากมายทั้งด้านการฟัง การได้ลองสรุปจากการดูการวิเคราะห์บทและได้คำศัพท์แปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้ทั้งความสนุกสนานในการดูอีกด้วยและดิฉันคิดว่าต้องพัฒนาในด้านทักษะการฟังอีกเยอะ เพราะตอนดิฉันยังฟังไม่เข้าใจมากนัก ต่อมาเป็นเรื่องของ phrasal verb ดิฉันได้รู้เกี่ยวกับวิธีการใช้และได้ฝึกคำศัพท์จากเพลงที่มีคำ phrasal verb อีกด้วย ความรู้ทั้งหมดที่ได้ศึกษาดิฉันจะนำไปพัฒนาให้ดีขึ้น

 

 

 

Learning log 3 (สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน)


จากการเรียนรู้ในห้องเรียนดิฉันได้รับความรู้ต่างๆ มากมาย ทั้งนำไปใช้ได้ในการเรียนและในการดำเนินชีวิต ทุกอย่างล้วนแล้วจะมีประโยชน์ต่อดิฉันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการวัดการเรียนการสอนแบบ Teach Less,Learn more สอนให้น้อย เรียนให้มากนั้นเอง ต่อมาจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนอีกหนึ่งรูปแบบ คือ blended learning เป็นการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีผสมผสานในการเรียนนั้นเอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดิฉันสามารถนำไปใช้หรือประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต จากนั้นได้เรียนรู้เกี่ยวกับ TOEFL และ IELTS ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปที่ดิฉันจำเป็นต้องรู้ว่าเราใช้ TOEFL และ IELTS เออะไรและเราควรเตรียมตัวอย่างอะไรในการสอบทั้งสองอย่างนี้ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่อง Linguistics ว่ามีองค์ประกอบใดบ้าง และแต่ละองค์ประกอบมีความสัมพันธ์ อย่างไร และนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง

รูปแบบการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ เช่น การสอนแบบ Teach Less,Learn more สอนให้น้อยแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรูปแบบการเรียนการสอนคือ blended learning เป็นการเรียนแบบผสมปสาน โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน เพราะจะเห็นได้ว่าในโลกปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก เด็กในปัจจุบันก็คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมาก การเรียนการสอนแบบนี้ จึงน่าจะเป็นการเรียนการสอนที่ดี ตัวอย่างการเรียนการสอนแบบ blended learning เช่น ผู้สอนนำเสนอเนื้อหาบทความไปแปะไว้บนเว็บไซต์ จากนั้นติดตามการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ e-learning ด้วยคอมพิวเตอร์ในห้องแล็ป หลังจากนั้นสรุปบทเรียนด้วยการร่วมกันอภิปราย

นอกจากได้รับรู้วิธีการสอนแบบต่างๆไปแล้ว ยังได้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่มีความสำคัญกับดิฉันคือ การสอบวัดทักษะทางภาษาอังกฤษ TOEFL และ IELTS ซึ่ง TOEFL คือ การทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับมีการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าคุณต้องการศึกษาต่อที่ไหนการสอบ TOEFL สามารถช่วยให้เราให้บรรลุผล โดยการสอบ TOEFL เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษระดับนานาชาติ เพื่อใช้ประเมินความสามารถด้านภาษาของผู้ที่สอบ เรียน หรือ ทำงาน ในสถานที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร โดยประเมินความสามารถของผู้เข้าทั้งด้าน ฟัง อ่าน พูด และเขียน และรวมถึงความรู้ทางด้านไวยากรณ์ และคำศัพท์ในการใช้ภาษา และแน่นอนการทดสอบทั้งสองประเภทนี้มีความยากแน่นอนเพราะฉะนั้นการเตรียมตัวในการสอบล่วงหน้าย่อมเป็นผลดีกับผู้เข้าสอบทุกคน

Linguistic เป็นการศึกษาภาษาของมนุษย์ ประกอบด้วย syntax : โครงสร้างทางภาษา  phonetic : การออกเสียง  semantic :ความหมาย ซึ่ง syntax โครงสร้างประโยคนั้นมีความสำคัญต่อการแปลเป็นอย่างมาก และสิ่งที่สำคัญต่อการแปลอีกอย่างคือ tenses หมายถึง กาลเวลา โดยกาลเวลาถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆคือ กาลเวลาในปัจจุบัน Present tense ให้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต สุดท้ายคือ กาลเวลาในอนาคต Future tense ใช้แสดงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจาการแบ่ง Tense               ตามกาลเวลาว่าเป็นปัจจุบัน อดีต และอนาคตแล้ว Tense ยังมีการจัดแบ่งตามลักษณะของการเกิดเหตุการณ์                       อีกด้วย

Tense ที่แบ่งออกตามลักษณะของการเกิดเหตุการณ์ แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ Simple Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง นิสัย ข้อมูล ข้อเท็จจริง กลุ่มที่สองคือ Continuous Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น กลุ่มต่อมาคือ Perfect Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง * Tense แต่ละกลุ่มนั้นมีความสำคัญในการสื่อสารเพื่อความเข้าใจ ว่าเหตุการณ์ที่กำลังพูดนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร ถ้าเราพูดผิด Tense อาจจะทำให้เข้าใจผิด หรือตีความหมายผิดพลาดกันได้เลย นอกจากนี้ Tense แต่ละกลุ่มก็สามารถแบ่งได้

 
 
Present simple tense เป็น tense ที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุด และเป็น Tense ที่ง่ายที่สุดซึ่งโครงสร้างคือ Subject + Verb1 จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือการกระทำขณะพูด เช่น Mew has only 10 Bent in pocket หมิวมีเงินเพียง 10 บาท ในกระเป๋าสตางค์ อธิบายได้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่เป็นปัจจุบันว่าในขณะนี้หมิวมีเงินเพียง 10 บาท , I feel cold ฉันรู้สึกหนาว เป็นการรู้สึกปัจจุบันว่า ฉันหนาว หรือจะใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ general truths ตัวอย่างเช่น Boiling point of wates is 100.c  จุดเดือดของน้ำคือ 100 องศาเซลเซียส เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ , The sun rises in the east and sets in the west พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก ต่อมาคือ จะใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ทำเป็นกิจวัตร repeated actions ทำซ้ำๆกันเป็นนิสัย habit หรือ การพูดถึงความถี่ของการกระทำ เช่น I go to work by bus everyday. ฉันไปทำงานโดยรถประจำทางทุกวัน และจะมีคำที่แสดงความถี่ คือ everyday , every mc th usually ,often หรือ always เป็นต้น

 
 
Present Continuous Tense มีโครงสร้างคือ   Subject + is /am/are + V ing จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ หรือการกระทำที่กำลังกระทำอยู่ เช่น He is watching the movie เขากำลังดูภาพยนตร์ ,Jane is talking to her friend. เจนกำลังพูดคุยกับเพื่อนของหล่อน ดังตัวอย่างที่กล่าวมา บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่หรือกำลังกระทำอยู่หรือจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำ แม้ในขณะพูด เช่น Mew is practicing singing everyday หมิวกำลังฝึกฝนร้องเพลงทุกวัน คือเขาได้ฝึกร้องเพลงทุกวันและในขณะที่เขาพูดเขาก็กำลังกระทำสิ่งนั้นอยู่ และอาจจะใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น My fish is going  to die. ปลาของฉันกำลังจะตาย บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้

 
 
Present Perfect Tense  รูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + has/have + V3 จะใช้กับเหตุการณ์ที่มีจุดเริ่มจากอดีต และดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน เช่น Ai has played tennis since she was young อัยเล่นเทนนิส ตั้งแต่เธอยังเด็ก คือ อัยเล่นเทนนิสตั้งแต่ในอดีตเมื่อยังเป็นเด็กจนถึงปัจจุบันเขาก็ยังเล่นคงเล่นอยู่ หรือจะใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะกระทำเสร็จโดยมักจะใช้ Adverb ต่อไปคือ already (แล้ว) , just (เพิ่งจะ), recently (เร็วๆนี้) เช่น I have just finished my homework. ฉันเพิ่งจะทำการบ้านเสร็จ และจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดครั้งเดียว หรือหลายครั้งในอดีต โดยโยงถึงปัจจุบัน มักจะมีคำเหล่านี้คือ many times (หลายครั้ง) , several times (หลายครั้ง) หรือ once (ครั้งหนึ่ง) เช่น Ida has traveled to Bali many times . ไอด้าเดินทางไปบาหลีมาหลายครั้ง

 
 
Present Perfect Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + has/have +been+ Ving ซึ่งจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินการจนถึงปัจจุบันและกำลังดำเนินอยู่ต่อไป เช่น I have been running for 20 minutes. ฉันวิ่งมาเป็นเวลา 20 นาทีแล้ว คือเขาได้วิ่งมาแล้ว 20 นาที และเขาก็กำลังวิ่งต่อไป, I have tired because I have been escaping from the flood. ฉันเหนื่อยเพราะว่าฉันเพิ่งหนีเหตุการณ์น้ำท่อมมา ประโยคนี้แสดงให้เห็นวา การหนีน้ำท่อมได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในอดีตและดำเนินมาเรื่อยๆ จนเพิ่งจบลงไม่นานในปัจจุบัน แต่ยังมีผลกระทบที่ส่งมาถึงปัจจุบันคือความเหนื่อย

 
 
ต่อมาจะเป็นกลุ่มของ Past tense ซึ่ง Tense แรกคือ Past simple Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + Verb 2 จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเหตุการณ์นั้นได้จบลงแล้ว อาจจะมี Adverb ที่แสดงถึงเวลาในอดีตคือ yesterday (เมื่อวานนี้), last night (เมื่อคืนนี้), last month (เดือนที่แล้ว), last year (ปีที่แล้ว) และ ago (มาแล้ว) เช่น I was born in New York.ฉันเกินในนิวยอร์ก, I watched 3 movies last night. ฉันดูหนัง 3 เรื่องเมื่อคืนนี้ หรือใช้กับกิจวัตรประจำวันและสิ่งทีทำสม่ำเสมอในอดีต เช่น I always watched the cartoon when I was a child. ฉันมักจะดูการ์ตูนเสมอเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เป็นการแสดงถึงว่า การดูการ์ตูนเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในอดีต เมื่อตอนเด็ก

 
 
Past Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยค คือ Subject + was/were+Ving จะใช้สื่อสารถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้ดำเนินอยู่ในอดีตขณะนั้น เช่น My baby was crying at 11 pm last night. ลูกของฉันกำลังร้องไห้เมื่อเวลา 11 โมง เมื่อคืนนี้ หรือใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีตจะใช้ Past Continuous Tense และจะมีเหตุการณ์ที่เข้ามาขัดจังหวะ จะใช้ Past Simple Tense โดยมีคำเชื่อมคือ when, while เช่น My wife was watching TV when I came back home. และอาจจะใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกันในอดีต เชื่อมด้วย While เช่น It was raining while I was swimming in the pool. ฝนกำลังตกในขณะที่ฉันกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ จากตัวอย่างทั้งสองประโยคเกิดขึ้นพร้อมกัน


 

Past perfect Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + has+V3 ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินขึ้นช่องหนึ่งและจบในอดีต ตัวอย่างเช่น I had never eaten Indian food until yesterday. ฉันไม่เคยทานอาหารอินเดียมาก่อนจนกระทั้งเมื่อวานนี้ She had finished her work before 11 pm. หล่อนทำงานของหล่อนเสร็จก่อน 11 โมง คือการทำงานเสร็จได้ดำเนินมาจนถึง 11 โมง ซึ่งเป็นเวลาในอดีต หรือใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบก่อนใช้ Past perfect Tense และจะมีเหตุการณ์ที่เกิดที่หลังใช้ Past Simple Tense ตัวเชื่อมประโยค when, before, after, เช่น She had cleaned her house when her boyfriend arrived. หล่อนทำความสะอาดบ้านเสร็จ ตอนแฟนหนุ่มของเธอมาถึง



Past Perfect Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + had +been+ Ving ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ คือมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและจบก่อนใช้ Past Perfect Continuous Tense (เน้นเรื่องความต่อเนื่องของสิ่งที่เกิดขึ้น) และมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หลังใช้ Past Simple Tense ใช้ตัวเชื่อมประโยคคือ when, before, after เช่น My sister had been singing for 2 hours before I arrived home. น้องสาวของฉันกำลังร้องเพลงมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน I turned on TV after my baby had been sleeping for 3 hours.  ฉันเปิดโทรทัศน์หลังจากลูกของฉันกำลังหลับไปแล้วเป็นเวลา 3 ชั่วโมง อธิบายคือ I tuned on TV เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังและ my baby had been sleeping เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน

 
 
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่เราใช้ในอนาคต คือ Future Tense แบ่งได้ดังต่อไปนี้ ลำดับแรก เป็น Future Simple Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยค Subject +will/shall+ Verb1 จะใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยสามารถใช้ Adverb ที่แสดงถึงอนาคตในประโยค คือ tonight (คืนนี้), tomorrow (พรุ่งนี้), next year (ปีหน้า), next month (เดือนหน้า), next week (สัปดาห์หน้า) เช่น Next year, I will travel to London. ปีหน้าฉันจะเดินทางไปลอนดอน หรือใช้ในการคาดเดา เช่น According to the weather forecast,it will rain tomorrow จากการพยากรณ์อากาศ ฝนจะตกวันพรุ่งนี้ หรืออาจจะใช้ใน if – clause ในเงื่อนไขที่มีความเป็นไปได้ในอนาคต รูปประโยคคือ If s + V1 , s + will + V1 เช่น IF he studies hard, he will pass the exam.ถ้าเขาศึกษาอย่างหนักเขาจะสอบผ่าน



Future Continuous Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + will / shall + be + Ving ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตโดยบอกว่ากำลังจำทำสิ่งนั้นอยู่ ในอนาคต ณ เวลาหนึ่ง เช่น Tomorrow morning at 10 o’clock, I will be playing tennis. พรุ่งนี้เช้าเวลา 10 นาฬิกา ฉันกำลังเล่นเทนนิส เป็นการบอกเวลาไว้แน่นอนว่า 10 นาฬิกาจะไปเล่นเทนนิสแน่ๆ หรืออาจใช้ร่วมกับ Future Simple Tense โดยเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะดำเนินอยู่ใช้ Future Continuous Tenseส่วนสิ่งที่เขามาขัดจังหวะจะใช้เป็น Future Simple Tense เช่น Min will be calling Jane when is girlfriend arrives.  มินควรจะกำลังโทรไปหาเจนเมื่อแฟนเขามาถึง ประโยคนี้จะเห็นได้ว่า มีเหตุการณ์ที่จะกำลังกระทำอยู่ในอนาคตคือ เขาคงจะกำลังโทรไปหาเจน และจะมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง เข้ามาขัดจังหวะคือ แฟนของเขามาถึง



 
 
Future Perfect Tense มีรูปแบบโครงสร้างประโยคคือ Subject + will + have +V3 ใช้เหตุการณ์ที่จะเสร็จสิ้นแล้วในอนาคต ร เวลาที่กล่าวถึง เช่น I will have finished my project when you arrive here. ฉันจะทำโปรเจคของผมเสร็จเมื่อคุณมาถึงที่นี้ มีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนและ Tense
 
 
สุดท้ายคือ Future Perfect Continuous Tense เป็น Tense ที่ไม่นิยมใช้กันสักเท่าไร มีรูปแบบโครงสร้างคือ Subject + will/shall + have +  been + Ving ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินทั้งแต่อดีต ดำเนินมาถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปในอนาคต เช่น By next month , I will have been marrying my wife for 10 years. ในเดือนหน้าฉันจะแต่งงานกับภรรยาของฉันเป็นระยะเวลา 10 ปี และจะใช้กับเหตุการณ์ที่จะกำลังดำเนินในอนาคตและจำดำเนินต่อไป เช่น I will have been studying for 3 hours by the time my parents arrive home. ฉันจะกำลังศึกษาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง เมื่อพ่อกับแม่ฉันมาถึงบ้าน

จากการได้เรียนรู้ในห้องเรียนดิฉันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตหรือในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Teach less , Learn more และ Blended learning เรื่องของ TOEFL และ IELTS ที่มีความจำเป็นต่อดิฉันในวันข้างหน้า และที่สำคัญคือเรื่องของ Tenses ทั้ง 12 Tenses ที่ช่วยดิฉันในการแปลมากยิ่งขึ้น ในบาง Tense ดิฉันก็อาจจะมีความรู้บ้างแต่เมื่อได้ทบทวนก็ทำให้รูเลยว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่ดิฉันยังไม่ชัดเจน และต้องพัฒนาอีกเยอะเพราะ Tense สำคัญทั้งด้านพูดและเขียน หากเราใช้แบบผิดๆ ไป ก็อาจจะทำให้การสื่อสารมีความผิดเพี้ยนหรือเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดได้ ฉะนั้นการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเรียนรู้ของเรา